วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เตือนภัยระวังกรุงเทพฯจมบาดาล(3).wmv

เตือนภัยระวังกรุงเทพฯจมบาดาล(2).wmv

บอกเก้า เล่าสิบ-โหรทายภัยพิบัติ 25 oct.10

อีก 10 ปี น้ำท่วมกรุงเทพ 20 Dec.10

อีก 10 ปี น้ำท่วมกรุงเทพ 20 Dec.10

น้ำท่วมกรุงเทพ

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะร่วมสมัย-สุขอยู่ที่ทนทุกข์ได้

ไม่ยอมหมดหวัง - เจนนิเฟอร์ คิ้ม

Live and Learn กมลา สุโกศล

นาทีที่ยิ่งใหญ่ - คริสติน่า

มองแต่แง่ดีเถิด

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สุขใจสุขกาย

ชีวิตไม่สามารถขีดเส้นใต้แล้วเดินตามได้ แต่ชีวิตต้องก้าวเดินไปข้างหน้า ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้คนเราต้องเผชิญกับความสุข และความทุกข์คละเคล้ากันไป สู้บ้างท้อบ้าง ความพยายามจะเกิดขึ้นเมื่อเราท้อ เราท้อเมื่อเราผิดหวัง และเมื่อเราไม่ตั้งความหวัง เราก็จะไม่ผิดหวังเช่นกัน นี้แหละคือรสชาติของชีวิตที่ทุกคนหนีไม่พ้น ไม่ว่าเราจะเดินทางไกลสักเพียงใด จะผ่านหลายร้อยหุบเขาหรือข้ามหลายพันสะพานสุดท้ายแล้วถนนก็มีแค่สองโค้งคือโค้งขวาและโค้งซ้าย
แต่ละคนก็มีเหตุผลในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือทุกคนต้องการมีความสุขในชีวิต ซึ่งความสุขในที่นี้ยากนักที่จะนิยามให้ความหมายอย่างชัดเจน แต่สามารถกำหนดกรอบแห่งการดำเนินชีวิตให้มีความสุขได้ดังนี้
1. ค้นหาและทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของตนเอง คนเราต้องรู้ว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไรกันแน่ ต้องรู้ความรู้สึกอย่างแท้จริงไม่ใช่หลอกตัวเอง หรือเป็นการสร้างภาพโดยปราศจากความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง และ เราต้องนิยามความหมายของความสุขในความต้องการของเราว่าความสุขคืออะไร โดยต้องนิยามบนพื้นฐานความเป็นตัวตนของเราเอง ถือเป็นการกำหนด เป้าหมายแห่งความสุข
2. จัดการกับความกลัว หรือจัดการกับทัศนคติทางลบ กลัวชีวิตไม่มีความสุข เป็นการเปลี่ยนความคิดเปิดมุมมองในทางบวก สร้างทัศนคติที่ดีต่อ การดำเนินชีวิต เราต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ แสดง ความเป็นตัวตนของตัวเอง และมีความเหมาะสมกับตนเอง มีความจริงใจกับทุกๆ คน และไม่ต้องกลัวความผิดหวัง หรืออุปสรรค นั่นคือ คนที่คิดบวกคือ คนที่กำลังเผชิญกับความสุข
3. สร้างแรงกระตุ้น เพิ่มความกระชุ่มกระชวยในการดำเนินชีวิต บางครั้งชีวิตก็ต้องมีความตื่นเต้นบ้าง นำอุปสรรคหรือปัญหามาเป็นตัวสร้างแรงกระตุ้น เพราะปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่มีไว้หนี ทุกปัญหามีทางแก้ หากใช้สติไตร่ตรอง อย่างรอบคอบ สรุปได้ว่า การมีสติในการดำเนินชีวิตจะทำให้ชีวิตมีความสุข
4. เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็มีสุข ชีวิตคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นคนเราต้องยอมรับความจริงและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตไม่ว่าด้านบวกหรือด้านลบ พึงระลึกว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนสรรพสิ่งบนโลก ใบนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงด้วยเสมอ เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้คืออนาคต วันนี้คือปัจจุบัน อดีตแก้ไขไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำวันนี้ให้ดี ให้มีความสุข แล้วเราก็จะมีความสุขในทุกๆ วัน
5. เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก แบ่งปันความรัก มอบความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู หากเรายิ้มให้กับกระจก กระจกมันจะยิ้มตอบเราเสมอ เมื่อเราสามารถทำให้คนอื่นมีความสุข เราก็จะ มีความสุขไปด้วย ความรักที่เรามอบให้บุคคลอื่นเป็นการแสดงออกที่สะท้อน ถึงความสุข ซึ่งต้องเป็นความรักที่เกิดด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ไม่มีอะไรซ่อนเร้น
6. สนุกและพอใจกับปัจจุบัน รู้จักกับคำว่า พอเพียง อยู่อย่างเพียงพอ ที่ไม่น้อยเกินไปหรือไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีเหตุมีผล เข้าใจในเหตุผลของกันและกัน ต่างคนต่างมีเหตุผลของแต่ละคน ความขัดแย้งหรือ ตัวทำลายความสุขก็จะเกิดขึ้นหากแต่ละคนไม่เข้าใจในเหตุผลของแต่ละคน นั่นหมายความว่า ชีวิตที่มีสุขเราต้องอยู่อย่างพอเพียง มีเหตุมีผล และต้องเข้าใจในเหตุและผลของบุคคลอื่นด้วย
7. สร้างบันทึกแห่งความสุข ลองสะสมแต้มแห่งความสุข ลองวิเคราะห์ถึงที่มาของความสุข ว่าความสุขที่เราต้องการสุดท้ายแล้วมันคืออะไร แล้วเรา มีความสุขมากน้อยแค่ไหน บทสรุปของบันทึกแห่งความสุขก็คือ ความสุขเกิดจากตัวเราเอง เราคือผู้กำหนด และหากเรามีความสุขใจ ความสุขกายก็จะตามมา
หากกรอบแนวคิดที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้ชีวิตเกิดความสุขได้เลย ก็จงยิ้มเข้าไว้ เพราะ
“รอยยิ้ม มันเกิดจากความรู้สึก รอยยิ้ม คือความบริสุทธิ์ของจิตใจ รอยยิ้ม ปลดทุกข์ นำสุข รอยยิ้ม คือมิตรภาพ ความผูกพัน รอยยิ้ม เปิดรับความสดใส รอยยิ้ม คือพลังใจ อันกล้าแกร่ง” แล้วความสุขก็จะเกิดพร้อมรอยยิ้ม ขอให้ทุกคนสุขใจสุขกาย




(

ภาพลวงตา

สภาพแวดล้อมทางการตลาดปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง การดำเนินธุรกิจต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคนาๆ ประการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดและความเจริญเติบโตของธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุให้ธุรกิจต้องหันมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญด้านการวิเคราะห์ ทำความเข้าใจถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง แบบเจาะลึก และเน้นการสร้างความแตกต่างที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด และก็เป็นเรื่องยากที่ธุรกิจ จะรู้ลึกถึงจิตใจและความปรารถนาของลูกค้าได้อย่างถ่องแท้ทั้งหมด
เมื่อธุรกิจต้องการความอยู่รอดและความเจริญเติบโต ธุรกิจก็จำเป็นจะต้องมีรายได้และกำไรมาใช้ในการดำเนินกิจการ และรายได้ก็มาจากการขายสินค้าและบริการกับลูกค้าเป้าหมาย ดังนั้นธุรกิจก็จะต้องศึกษาถึงความต้องการ หรือปัญหา และพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป็นสิ่งที่ธุรกิจจะต้องทำความเข้าใจ และต้องเจาะลึกอย่างถ่องแท้ ถูกต้อง ชัดเจน สามารถนำมาสร้างเครื่องมือ ในการนำเสนอให้โดนใจและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจน สามารถช่วงชิงความได้เปรียบทางการแข่งขัน ทำให้ธุรกิจเกิดรายได้ สร้างกำไร และอยู่รอดได้อย่างยาวนาน
การศึกษาความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมายเป็นการศึกษา ถึงวิธีการของแต่ละบุคคลที่ทำการตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรต่างๆ เกี่ยวกับ การบริโภคสินค้าและบริการ ธุรกิจต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบ การตอบรับต่อสิ่งเร้าต่างๆ ของลูกค้า คุณลักษณะและภาวะจิตใจ กระบวนการ ตัดสินใจซื้อ และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อ ซึ่งการศึกษาดังกล่าวต้องอาศัย ทั้งความรู้ ประสบการณ์ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
บางครั้งพฤติกรรมการแสดงออกของลูกค้าเป้าหมายก็เป็นเสมือนภาพ ลวงตาที่ธุรกิจจะต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าออกมาให้ได้ เพื่อสามารถ ใช้เป็นข้อมูลในการนำเสนอขายและสื่อสารข้อมูลต่างๆ ให้เข้าถึงใจลูกค้าเป้าหมายอย่างโดนใจจนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ นักการตลาด หรือนักขายต้องพึงระลึกว่า บางครั้งสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง และสิ่งที่คิดว่าใช่ อาจจะไม่จริงก็ได้ ดังนั้น อย่าตัดสินคนอื่นด้วยความรู้สึก
นักการตลาดหรือนักขาย จะอาศัยข้อมูลแบบฉาบฉวย หรือใช้ความรู้สึก ส่วนตนมาตัดสินความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมายไม่ได้ หรือบางคนชอบคิดเอาเอง คิดแทนลูกค้า ตัดสินใจแทนลูกค้า ถ้าคิดถูกก็ดีไป หากคิดผิดลูกค้าก็อาจไม่กลับมาอีกแล้ว เพราะปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยี ลูกค้ารับรู้ข้อมูลมากขึ้น เร็วขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น เมื่อมีสิ่งใหม่ๆ ที่ลูกค้ารู้สึก ว่าดีกว่าก็พร้อมที่จะไปตลอดเวลา ดังนั้น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าท้อถ้าไม่ได้ ลงมือทำอย่างเต็มที่
การดำเนินธุรกิจจะต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลการตลาดที่เพียงพอ เหมาะสม และทันสมัย ไม่ตั้งสมมติฐานเริ่มต้นว่าข้อมูลไม่พอหรือหาไม่ได้ หรือ คิดว่าข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหรือลูกค้าไม่จำเป็น คนเราถ้าจะทำให้คนอื่นเชื่อ ก็ ต้องเริ่มจากตัวเองว่าเชื่อในสิ่งๆ นั้นมากแค่ไหน และในขณะเดียวกันเราจะเชื่อ ในสิ่งนั้นๆ แล้วเรามีข้อมูลที่ตระหนักถึงมากน้อยและน่าเชื่อถือเพียงใด
การศึกษาข้อมูลตัวตนของลูกค้าเป้าหมายเป็นการศึกษาจากบุคลิก ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลที่เป็นตัวบ่งบอกและสนับสนุนการแสดง ออกถึงพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นจะประกอบด้วย อายุ ครอบครัว อาชีพ รายได้ สถานะทางเศรษฐกิจ รูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle) บุคลิกภาพ วัฒนธรรม ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ธุรกิจหาได้ไม่ ยาก และเป็นข้อมูลใกล้ตัวที่บางครั้งธุรกิจก็ละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญ จริงๆ แล้ว ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาเป็นข้อมูลเพื่อค้นหาพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้

กฎแห่งความรับผิดชอบ

ทุกการกระทำของคนเราจะมีเงาตามตัวที่ชื่อ “ความรับผิดชอบ” ติดมาด้วยเสมอครับ ทั้งสองอย่างนี้จะมีความสัมพันธ์กันอย่าง ใกล้ชิด เราควรตระหนักว่าหากได้กระทำสิ่งใดลงไปแล้วนั้น เราเองย่อมต้อง รับผิดชอบในผลต่างๆ ที่จะเกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในสังคมเราจะเห็นว่ามีคนที่ “ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง” มากมายทีเดียว ที่ร้ายยิ่งกว่า คือหลายคนได้พยายามโยนความรับผิดชอบ ของตนให้คนอื่นอีกด้วย
ผมพบความน่าสนใจเรื่อง “กฎแห่งความรับผิดชอบ” ที่ไบรอัน เทรซี่ นักการตลาดชื่อดัง ได้เขียนไว้ในหนังสือขายดีเล่มหนึ่งของเขา “คัมภีร์แห่ง ความสำเร็จ” หรือ Absolutely Unbreakable Law of Business Success ไบรอันเชื่อว่า “ในเมื่อเราเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง เราก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการเลือกและตัดสินใจนั้นด้วย”
ผมยอมรับว่าเสน่ห์ของความรับผิดชอบอยู่ตรงที่ ยิ่งเรายอมรับตัวเองมากขึ้น และมองตัวเองมากขึ้นในเรื่องนี้ คนอื่นๆ ก็ยิ่งต้องการช่วยส่งเสริมเรา มากขึ้น แต่ยิ่งเรามีความรับผิดชอบน้อยลงเท่าไหร่ มักจะตำหนิผู้อื่นมากขึ้น เพียงใด จำนวนคนที่ต้องการมีส่วนร่วมกับเรายิ่งมีน้อยลงตามนั้น จากในหนังสือ ไบรอันได้กล่าวถึง กฎแห่งความรับผิดชอบไว้ 3 ข้อดังต่อไปนี้
“คุณมีอิสระในการเลือกสิ่งที่คุณคิดและทำเสมอ” เชื่อเถอะครับ ไม่่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือกำลังทำอะไร มันเป็นผลมาจากการเลือกของเราทั้งสิ้น ฉะนั้นจุดที่เราอยู่ในปัจจุบัน เป็นอย่างที่เป็นในปัจจุบันก็เนื่องมาจากการคิด และการประพฤติในอดีตของเรา เพราะฉะนั้นอนาคตของคุณต้องการให้เป็น อย่างไร คุณมีอิสระที่จะเลือกและสามารถทำหรือพูดสิ่งที่ต้องการ “ชีวิตออกแบบได้” นั่นเองครับ หากต้องการให้ชีวิตดีขึ้น มันจะต้องดีขึ้น เช่น ท่าน เลือกที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยการตัดสินใจทำธุรกิจเครือข่าย เป็นต้น อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดกฎแห่งความรับผิดชอบข้อแรกจะ บอกคุณว่า คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ หรือล้มเหลว ที่จะทำ/ต่อสิ่งที่พูด หรือล้มเหลวต่อสิ่งที่พูดได้เลย
“ความรับผิดชอบเริ่มด้วย การเข้าควบคุมสาระในจิตสำนึกของคุณ อย่างสมบูรณ์” นี่คือ กฎแห่งความรับผิดชอบประการที่สอง สิ่งที่เราคิดและลักษณะที่เราคิดเกี่ยวกับเรื่องใดๆ กำหนดความเป็นจริงของตัวเรา และเนื่อง จากการที่เราคนเดียวเท่านั้นสามารถควบคุมสิ่งที่เราคิด ส่งผลต่อการกระทำ ที่จิตเข้าควบคุมความคิดและมุ่งสนใจอยู่แต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ (และมักจะ ไม่คิดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ) เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนายเหนือตน การควบคุม ตนเอง และพลังแห่งตน
“ไม่มีใครช่วยชีวิตคุณได้” เป็นกฎแห่งความรับผิดชอบประการสุดท้าย เห็นด้วยใช่ไหมครับว่า ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นมันต้องขึ้นอยู่กับเรา อย่างไร ก็ตามมีสัจธรรมนะครับว่า “หากเราต้องการให้สิ่งต่างๆ เกิดการเปลี่ยน แปลง เราต้องเปลี่ยนตัวเราก่อน หากเราต้องการให้สิ่งต่างๆ ก้าวหน้าไป ในทางที่ดีขึ้น เราจะต้องพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้นก่อน” อย่างในธุรกิจเครือข่าย ไม่มีใครที่สามารถพูดได้ ขยายงานเก่งมาตั้งแต่ต้นหรอกครับ คนที่เพิ่งเริ่ม ทำงานอย่าท้อ หมั่นฝึกพูด หมั่นเข้างานประชุม ร่วมหลักสูตรพัฒนาทักษะ ต่างๆ ที่มีการจัดขึ้น ทุกอย่างเป็นหนทางที่ทำให้คุณพัฒนาตัวเองให้เก่งได้ทั้งสิ้น
ผมขอฝากทิ้งท้ายไว้สักนิดนะครับว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของคำว่า “รับผิดชอบ” คือ ต้องไม่หาข้อแก้ตัวหรือตำหนิผู้อื่นอย่างเด็ดขาด อย่าพูดหรือ แม้กระทั่งคิดว่า “นั่นไม่ใช่งานของฉัน” เพราะนี่คือลักษณะของคนที่ไม่มีอนาคตเขามักจะคิดและพูดกัน ไม่ใช่สิ่งที่ท่านควรทำตาม ทุกท่านเป็นคนที่มี “ความรับผิดชอบต่อตัวเอง” ใช่ไหมครับ ?

ประสิทธิภาพนักขายตรง

+
การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักขายตรงเป็นงานที่สำคัญอันดับต้นๆ ของธุรกิจขายตรงที่เน้นการขายและการสร้างเครือข่ายเป็นหลัก และไม่ใช่เรื่อง แปลกที่เกือบทุกองค์กรให้ความสำคัญการปฏิบัติงานของพนักงานขายโดยเฉพาะท่ามกลางสิ่งแวดล้อมในปัจจุบันที่ไม่สามารถเอาแน่เอานอนอะไรได้ หากวิเคราะห์รายละเอียดด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพนักงานขายก็แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการดำเนินงานจะสัมพันธ์กับความสามารถและทักษะด้านการสื่อสาร ระหว่างบุคคล โดยพฤติกรรมของนักขายตรงที่ต้องแสดงออกถึงความสัมพันธ์ ที่ดีกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมา สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและวัตถุประสงค์ขององค์กร
นักขายตรงต้องมีการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของตนเอง ซึ่งการตรวจสอบประสิทธิภาพนักขายตรงโดยทั่วไปจะประกอบด้วยโครงสร้างพื้นฐาน 7 ประการดังนี้
1. บทบาท เป็นพฤติกรรมของนักขายตรงที่ถูกผู้อื่นคาดหวังว่าจะต้องแสดงออกให้สอดคล้องเหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานขาย โดยนักขายตรงต้องเข้าใจในบทบาทและหน้าที่ของอาชีพงานขาย เข้าใจถึงธรรมชาติและภาระงานที่นักขายตรงต้องปฏิบัติ
2. ทักษะ เป็นความรู้ ความสามารถและประสบการณ์ของนักขายตรงที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมการขาย โดยนักขายตรงจะต้องเรียนรู้ และพัฒนาทักษะ ด้านการขายอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพราะไม่มีใครเก่งไปทุกอย่าง และรู้ไปทุกเรื่อง การเพิ่มทักษะถือเป็นการเพิ่มโอกาส เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
3. แรงจูงใจ เป็นการกระตุ้นเพื่อสร้างความกระตือรือร้นในการทำงาน งานขายเป็นงานที่ต้องเผชิญหน้าพบปะกับบุคคลที่มีความหลากหลายความรู้สึกนึกคิด ดังนั้นนักขายตรงจะต้องสร้างแรงจูงใจในการทำงาน หากนักขายตรงไม่มีเป้าหมายทางด้านยอดขาย หรือเป้าหมายด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง หรือไม่มีส่วนแบ่งจากยอดขาย ก็อาจทำให้ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน
4. ปัจจัยส่วนบุคคล เป็นปัจจัยเฉพาะของแต่ละบุคคล อันได้แก่ เพศ อายุ ศาสนา เชื้อชาติ การศึกษา สรีระทางร่างกาย รวมถึงเรื่องสุขภาพกายและใจ โดยนักขายตรงที่สามารถดูแลร่างกายและสุขภาพจิตให้ดีพร้อมและสามารถประยุกต์ลักษณะเฉพาะตัวของตนเองให้เข้ากับกิจกรรมการขายได้อย่างเหมาะสมก็ถือว่าเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ดังนั้นนักขายตรง จะต้องเข้าใจในจุดแข็งและข้อจำกัดของตนเองที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานขาย เพราะถ้าเราไม่รู้จักตัวเองแล้วใครจะรู้จักเรา
5. ความถนัด เป็นพรสวรรค์ผนวกกับพรแสวง ที่บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญทางด้านการขาย ซึ่งนักขายตรงแต่ละคนอาจใช้เทคนิคทางด้านการขายที่ แตกต่างกันขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ จังหวะเวลา และโอกาสที่เหมาะสม ซึ่งแตกต่างกันภายใต้สถานการณ์ต่างๆ มันคงเป็นไปได้ยากที่นักขายตรงจะเลือก ใช้เทคนิคการขายที่ตนเองไม่ถนัดแล้วประสบความสำเร็จทางการขาย เพราะไม่ได้แสดงถึงตัวตนที่แท้จริงของนักขายตรง ตลอดจนยังเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นศรัทธาที่ลูกค้ามีต่อนักขายตรงด้วย
6. องค์กร เป็นหน่วยงานที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของนักขายตรงในหลายๆ มิติ อาทิ การสนับสนุนด้านการพัฒนานักขายตรง การสร้างและ อำนวยความสะดวกในการดำเนินงานของนักขายตรง การกำหนดนโยบายและ ผลตอบแทนจากการขาย การบริการจัดการด้านการขาย การบริหารทรัพยากร มนุษย์ที่มีศักยภาพ ดังนั้น นักขายตรงต้องเลือกองค์กรที่มีความมั่นคง ฐานะทางการเงินดี มีโอกาสในการเจริญเติบโต มีทีมบริหารที่มีความรู้ความสามารถ น่าเชื่อถือ มีนโยบายและผลิตภัณฑ์ตลอดจนการจ่ายผลตอบแทนที่สอดคล้อง กับความต้องการของนักขายตรง
7. ปัจจัยสิ่งแวดล้อม เป็นปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้ แต่นักขายตรงสามารถแสวงหาโอกาสและหลีกเลี่ยงอุปสรรคได้ ได้แก่ ปัจจัยด้าน ภัยธรรมชาติ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี โดยนักขายตรงที่มีประสิทธิภาพจะต้องสามารถฝ่าฟันต่อปัญหาและอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปและฉกฉวยโอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่เรื่องยากหากคุณมีความเชื่อมั่น

ในปัจจุบันคงไม่มีใครปฏิเสธว่าธุรกิจขายตรงเริ่มเข้ามามีบทบาทและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการประกอบอาชีพของบุคคลที่สนใจ หลายๆ ท่านคงจะคุ้นเคยกับการทำธุรกิจขายตรงเป็นอาชีพหรือรายได้ เสริม แต่ ณ เวลานี้ ธุรกิจขายตรงที่ถือว่าบูมและมาแรงที่สุดก็คือธุรกิจในรูปแบบเครือข่ายหรือธุรกิจขายตรงระบบหลายชั้นนั่นเอง เพราะเป็นธุรกิจที่นอกจากจะสามารถทำเป็นรายได้เสริมแล้วนั้น ยังสามารถทำเป็นรายได้ประจำอีกด้วย ซึ่งมีนักธุรกิจและนักขายหลายๆ ท่าน ที่เปลี่ยนจากการทำเป็นอาชีพเสริม และหันมาทำเป็นอาชีพหลัก เพื่อโอกาสทางด้านรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด
เส้นทางแห่งความสำเร็จสำหรับธุรกิจเครือข่ายนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเลย ค่ะถ้าหากคุณมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและเชื่อมั่นในรูปแบบธุรกิจที่คุณตัดสินใจทำ ศักยภาพของนักขายที่ดี ควรรักษาและดูแลลูกค้าที่มีอยู่และสร้างลูกค้าใหม่เทคนิคง่ายๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
l หาลูกค้าใหม่อย่างน้อยวันละ 1 คน
l ขายสินค้าให้กับลูกค้าเพิ่มอย่างน้อย 1 ชิ้น ในทุกครั้งของการสั่งซื้อ ด้วยเทคนิคการขายสินค้าในกลุ่มเดียวกัน ขายสินค้าข้ามกลุ่ม หรือขาย สินค้าเป็นชุดเซ็ต
l ทำสมุดประวัติของลูกค้ารวมทั้งประวัติการสั่งซื้อ
l จัดโฮม ปาร์ตี้ เพื่อแนะนำสินค้า ด้วยการเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องผลิตภัณฑ์และสาธิตสินค้าได้อย่างถูกต้อง พร้อมกับเป็นโอกาสในการสร้าง สัมพันธภาพกับลูกค้าและลูกทีมอีกด้วย
l และที่ขาดไม่ได้คือการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการขาย เช่น แค็ตตาล็อก รวมทั้งโปรโมชั่นเสนอขายต่างๆ ที่จะสามารถสร้างยอดขายให้กับคุณได้
นอกจากนี้ คุณต้องมีความเชื่อมั่นในแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ด้วยการเป็น ผู้ทดลองใช้เอง และสามารถบอกต่อถึงประโยชน์และคุณภาพของสินค้าให้ กับลูกค้าและลูกทีมได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถตอบคำถามและการตอบ ข้อโต้แย้งของลูกค้าได้อย่างมั่นใจ และไม่ใช่เพียงแค่ตัวคุณเท่านั้นที่เชื่อมั่น ในผลิตภัณฑ์ คุณต้องสามารถทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ได้ ด้วยเช่นกัน
และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำธุรกิจรูปแบบเครือข่ายหรือแบบหลายชั้นนี้ คือความเชื่อมั่นในการสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับบุคคลอื่นๆ ด้วยการ พัฒนานักขายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในทีมงานของคุณ ด้วยการหาผู้มุ่งหวัง ที่มีศักยภาพ ให้ความรู้และแนะแนวทางในการขายและการทำธุรกิจ พร้อม ทั้งคอยติดตามผลงานอย่างต่อเนื่อง และเหนือสิ่งอื่นใดจะต้องมีการทำงาน กันเป็นทีม เช่น วางแผนออกภาคสนามร่วมกันเพื่อให้คำแนะนำวิธีการหาผู้ มุ่งหวังและฝึกอบรม และพร้อมที่จะทำตัวเป็นต้นแบบตามแนวทางของ “เส้นทางสู่ความสำเร็จ”
สุดท้ายคือความเชื่อมั่นในองค์กร และการติดตามพัฒนาการขององค์กร เพื่อความเติบโตอย่างยั่งยืน และไม่มีที่สิ้นสุด กับโอกาสที่มากขึ้น และผลประโยชน์ที่มากกว่า คุณต้องมีความเชื่อมั่นว่าทุกก้าวย่างของการพัฒนาขององค์กร ล้วนเป็นข้อเสนอที่ดีที่สุด คิดค้นขึ้นมาสำหรับนักขายหรือ นักธุรกิจ เพื่อทำให้ฝันของทุกท่านเป็นจริงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนา ในระบบการให้บริการ ระบบการขาย การใช้เทคโนโลยีเพื่อทำให้ธุรกิจของ คุณง่ายยิ่งขึ้น และยังเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการเติบโตทางธุรกิจที่ ขยายตัว รวมถึงโอกาสในการสร้างรายได้ที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มที่ภายใต้การ สนับสนุนและการพัฒนาอย่างเต็มรูปแบบขององค์กร

ลูกค้าคือความท้าทาย

+

การดำเนินธุรกิจต้องอาศัยลูกค้าเพื่อก่อให้เกิดรายได้ ทำให้เป้าหมายการ ดำเนินธุรกิจหยุดนิ่งที่ปลายทางแห่งกำไร ดังนั้นเพื่อเป็นการสร้างรายได้และกำไรให้เกิดขึ้น ธุรกิจก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า การดำเนินกิจกรรมการขายที่ต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับลูกค้า ถือเป็นความท้าทาย อย่างยิ่งสำหรับทุกองค์กร ที่จะต้องบริหารจัดการทั้งระบบภายในองค์กรและภายนอกองค์กรให้มีประสิทธิภาพ สามารถสร้างความได้เปรียบในการดำเนินงานท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆ
ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ธุรกิจจะรู้ลึกถึงจิตใจและความปรารถนาของลูกค้าได้ทั้งหมด จึงทำให้ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในตลาดได้อย่าง เต็มกำลัง เนื่องจากผู้บริโภคมีจำนวนมากและมีความต้องการซื้อที่หลากหลาย ทำให้การพิชิตใจลูกค้าเป็นความท้าทายที่ทุกธุรกิจจะต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ธุรกิจต้องคิดหากลวิธีต่างๆ เพื่อทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าและบริการ โดย ธุรกิจจะต้องเจอทั้งโอกาสและอุปสรรคขวากหนามหลากหลายประการ และก็ ต้องฝ่าฟันผ่านพ้นไปให้ได้ ในด้านความท้าทายของลูกค้าจะประกอบด้วย
1. ความสลับซับซ้อนของความต้องการและความรู้สึกของลูกค้า เมื่อธุรกิจต้องการรายได้จำนวนมากก็ต้องทำให้ลูกค้าจำนวนมากซื้อสินค้าในปริมาณ มาก เมื่อมีลูกค้ามาก พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าก็จะมีความหลาก หลายด้วยเช่นกัน เพราะความต้องการของลูกค้าแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ดังนั้น ธุรกิจต้องแบ่งแยก จัดกลุ่มความต้องการของลูกค้าแต่ละรายให้มีความ ชัดเจน แล้ววิเคราะห์ข้อมูลความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า อย่างถูกต้อง ไม่ใช่คิดเอาเองหรือใช้ความรู้สึกในการตัดสินความต้องการของลูกค้า
2. การขาดประสบการณ์ของลูกค้า ปัจจุบันลูกค้าจะได้รับข้อมูลข่าวสาร ต่างๆ มากมายและรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่เป็นจริงบ้างไม่จริงบ้างหรือกล่าว เกินจริงบ้าง ธุรกิจต้องพึงระลึกเสมอว่า ไม่ว่าลูกค้าจะรู้สึกว่ามีข้อมูลและรู้จัก สินค้าของธุรกิจมากแค่ไหน แต่ต้องไม่รู้มากกว่าเจ้าของธุรกิจเอง ดังนั้น ธุรกิจ ต้องรับฟังข้อมูลของลูกค้าแล้วก็ต้องนำข้อมูลที่ได้มาประมวลผลเพื่อมากำหนด ระดับความรู้ของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์และบริการของธุรกิจมากน้อยแค่ไหน แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินกิจกรรมพิชิตใจลูกค้าต่อไป
3. กระบวนการซื้อที่ไม่แน่นอน การตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคก็จะเกิดขึ้นได้จากความพึงพอใจ การวางแผนการขายสินค้าหรือบริการใดๆ ก็จะ ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการซื้อของผู้บริโภคมาใช้ประกอบการตัดสินใจ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องศึกษาวิธีการของแต่ละบุคคลที่ทำการตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าหรือบริการ ต้องทำความเข้าใจ ในกระบวนการซื้อของผู้บริโภคแต่ละส่วน เพื่อธุรกิจจะได้ทราบถึงวิธีการจูงใจ ลูกค้าและนำไปดำเนินกิจกรรมการตลาดเพื่อกำหนดรูปแบบของผลิตภัณฑ์และการบริการ กำหนดสิ่งกระตุ้นที่เหมาะสมให้ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจเลือก ซื้อผลิตภัณฑ์ขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนกำหนดกลยุทธ์การตลาดให้ผู้บริโภคได้รับความพึงพอใจสูงสุด ซึ่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคแต่ ละครั้งเป็นสิ่งที่ยากต่อการเข้าใจ ทั้งนี้เพราะในบางครั้งแม้แต่ผู้บริโภคยังไม่สามารถที่จะให้คำตอบได้ว่าเหตุใดจึงตัดสินใจเช่นนั้น
4. สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ปัจจุบันสภาพแวดล้อมทางการตลาดเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างจะรุนแรง และส่งผลกระทบต่อความอยู่รอด และความเจริญก้าวหน้าของธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นธุรกิจต้องศึกษาและทำ ความเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมภายนอกที่ธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้และมีส่วน เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน ซึ่งสภาพแวดล้อมเหล่านี้อาจเป็นโอกาส (Oppor-tunities) หรืออุปสรรค (Threats) โดยธุรกิจจะต้องใช้โอกาสมาเป็นประโยชน์ ในการกำหนดกลยุทธ์และต้องหาวิธีหลีกเลี่ยงอุปสรรค หรือปรับกลยุทธ์เพื่อ เปลี่ยนอุปสรรคให้เป็นโอกาส และเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลาก็ทำให้พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าต้องมีการเปลี่ยน แปลงตามไปด้วย
5. ผู้มีบารมีและอิทธิพล จะประกอบไปด้วยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลทั้งหมดที่มีอิทธิพลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อทัศนคติหรือพฤติกรรมของผู้บริโภค และมีความเกี่ยวข้องกัน มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมซึ่งกันและกัน สำหรับ การให้คำแนะนำและชี้แนวทางเกี่ยวกับความคิดหรือการกระทำ อาจเป็นผู้เสนอ แนะความคิดเกี่ยวกับการซื้อสินค้าและบริการ หรือบุคคลที่รับรู้ถึงความจำเป็น หรือความต้องการซื้อ หรือบุคคลที่ใช้คำพูดหรือการกระทำทั้งที่ตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ รวมทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการ บริโภค การใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการ โดยธุรกิจจะต้องศึกษาถึงอิทธิพลของบุคคล เหล่านี้ว่าส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการขององค์กรมากน้อยแค่ไหน
ทั้งห้าองค์ประกอบที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความท้าทายของ ลูกค้าที่ทุกองค์กรกำลังสัมผัสอยู่ ซึ่งธุรกิจใดสามารถขับเคลื่อนองค์กรผ่าน ด่านที่ท้าทายเหล่านี้ได้มากเท่าใดก็ยิ่งทำให้รายได้และกำไรเพิ่มมากขึ้น เพราะนั่นหมายถึงสามารถเข้าถึงใจลูกค้าได้มากขึ้น สามารถทำให้ลูกค้าซื้อ สินค้าและบริการเพิ่มมากขึ้นได้

จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไร?

หากพูดถึงความสำเร็จในชีวิต ผมเชื่อว่าไม่มีใครไม่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตหรอกครับ จริงมั๊ย และความสำเร็จที่ทุกคนไม่ปฏิเสธนั้น คงเป็นความสำเร็จในชีวิตที่มันดีขึ้นหรือสูงขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอนคงจะไม่มีใครที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตในด้าน ที่มันตกต่ำกว่าเดิมหรือแย่ยิ่งกว่าเดิมแน่นอน ใช่มั๊ยครับ
สรุปว่าไม่มีใครที่ไม่อยากมีชีวิตดีขึ้น หรือชีวิตที่ดีกว่า ก็ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ผมจึงได้ก่อตั้งบริษัทขายตรงแบบหลายระดับชั้นขึ้นมาเมื่อปี 2544 และเจตนาใช้ชื่อบริษัทว่า ็นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนลิ ซึ่งก็มีความหมายว่า ็ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าิ หรือชีวิตใหม่ที่มันมีความมั่นคงมีมาตรฐานเป็นที่น่าเชื่อถือหรือเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปนั่นเอง
แค่ชื่อบริษัทอย่างเดียวคงไม่ทำอะไรให้ผู้คนที่มาพบ เจอหรือได้มาร่วมงานหรือร่วมธุรกิจด้วยสามารถประสบความสำเร็จได้ เพียงแต่ชื่อนั้นได้บ่งบอกถึงความตั้งใจในเจตนาเท่านั้น การที่คนเราจะสามารถประสบความสำเร็จได้นั้นนอกจากต้องมีโอกาสที่ดีแล้วผมเชื่อว่าสิ่งสำคัญมาก ที่สุดอย่างหนึ่งต้องมีความคิดที่ดีเป็นพื้นฐานของชีวิตด้วย
อย่างที่พระท่านมักพูดอยู่เสมอๆ ว่า คิดดี พูดดี ทำดี ก็จะได้ดีิ เรามาดูกันทีละข้อดีกว่าครับ คิดดีหมายถึงความคิดที่เป็นด้านบวกหรือด้านที่สูง ซึ่ง ตรงข้ามกับคำว่าคิดลบเป็นความคิดในด้านที่ต่ำกว่าปกติ มีคำพูดอยู่คำหนึ่งคือ สวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจิ นั่นหมายถึงในใจเราแบ่งออกเป็นสองฝ่ายอย่างแน่นอน แล้วท่านล่ะคิดว่าฝ่ายสวรรค์หมายถึงด้านดีใช่ไหมและควร อยู่ด้านสูงด้วยและตรงกันข้ามฝ่ายนรกคือในด้านเลวย่อม อยู่ในด้านต่ำ ผมอยากให้สังเกตคำว่าในใจ คำว่า ใจ ความหมายในภาษาไทยไม่ได้หมายถึงหัวใจ แต่หมายถึง จิตใจ จิตใจที่มีผลต่อความคิด จิตใจหรือคนที่คิดดีเขาว่ามีจิตเป็น กุศล ส่วนคนที่คิดไม่ดีเขาว่าจิตเป็นอกุศล ฉะนั้นหากเราอยากประสบความสำเร็จเราก็ต้องเริ่ม ที่จิตใจก่อนโดยการทำจิตใจของเราให้สูงขึ้นด้วยการทำจิตให้ถึงพร้อมด้วยกุศลอยู่ตลอดเวลา เมื่อจิตเป็นกุศลตลอดเวลาก็จะทำให้จิตสามารถมากำหนดความคิดของเราได้ ให้เราคิดแต่ด้านที่ดีที่มีประโยชน์ทั้งต่อตนเอง ต่อ ผู้อื่น ต่อสังคม ต่อประเทศชาติ เมื่อความคิดมีแต่ด้านดีหรือด้านที่เป็นแต่กุศลก็จะทำให้เหมือนเราสั่งสมบุญกุศลให้ตนเองอยู่ตลอดเวลา นานวันเข้าบุญกุศลที่สั่งสมไว้ดีแล้วนั้นมีพอประมาณก็จะ ทำให้แผ่รัศมีไปสู่ใบหน้าสู่ร่างกายสู่กิริยามารยาท การรู้จัก สัมมาคารวะ การรู้จักใช้คำพูดคำจาก็มาสู่คำว่า พูดดี นั่นเอง การมีหน้าตาที่ดูดีไม่จำเป็นต้องหล่อต้องสวยก็ดูดีได้ เขาเรียกว่ามี โหงวเฮ้งดี หรือมีราศีจับนั่นเอง คนเราเมื่อมีราศีจับ ก็จะทำให้น่าคบหาสมาคม น่าเชื่อถือมีแต่คนยอมรับสนับสนุนร่วมงานด้วย เขาก็เรียกว่าทำอะไรก็ดีไปหมด ไม่มีอะไรทำก็มีคนมาแนะนำให้ส่งเสริมให้ ขาดเหลือก็จะมีคนมาจุนเจือไปทางไหนทิศไหนก็ มีแต่เรื่องที่ดีๆ ทำแต่สิ่งดีก็เป็นผลส่งให้คนที่มีจิตใจดีนั้นได้ดิบได้ดี ในที่สุดก็มาสรุปทิ้งท้ายด้วยคำว่า ็ได้ดีิ แบบพอดิบพอดี อย่าลืมนะครับถ้าอยากได้ดี อยากประสบความ สำเร็จต้องเริ่มที่จิตใจ หรือจะดีไม่ดีมันอยู่ที่ใจ ใจเรานี่มันเป็นใหญ่จริงๆ ครับสามารถกำหนดให้เกิด ความสำเร็จได้ ถึงได้มีคำกล่าวกันว่า ็เอาชนะอะไรทั้งสิ้นทั้งปวงก็สู้เอาชนะใจตนเองไม่ได้ิ การเอาชนะใจตนเองได้ถือเป็นการเอาชนะได้ทุกสิ่งทุกอย่าง จำไว้นะครับ คิดดี พูดดี ทำดี ท่านจะได้ดีอย่างแน่นอน และไม่ใช่คิดดีพูดดีแต่ไม่ยอมทำสักทีนะครับ หาก ไม่ลงมือทำ ชาติหน้าก็คงสำเร็จยากครับ ลงมือทำ ทำทันที ทำแต่สิ่งดีๆ และทำให้ดีที่สุดนะครับ ชีวิตนี้สำเร็จได้แน่นอน!!!

สร้างความผูกพันอย่างยั่งยืน

การดำเนินธุรกิจปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้น ธุรกิจต้องเน้นการแสวง หาลูกค้าผนวกกับการรักษาลูกค้าให้อยู่กับองค์กรอย่างยาวนาน จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ธุรกิจต้องหากลยุทธ์และกลวิธีใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินกิจการเพื่อ ให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลาภายใต้สภาวะแวดล้อมต่างๆ โดยมีเป้าหมายคือ การสร้างยอดขายให้เกิดขึ้น แม้ว่าธุรกิจจะมีกลยุทธ์ใหม่ๆ ออกมา หรือต้องประสบกับการเปลี่ยนแปลงของ สถานการณ์ในรูปแบบต่างๆ ลูกค้าก็ยังเป็นหัวใจหลักและมีค่าสูงสุดต่อธุรกิจเสมอ โดยธุรกิจต้องแสวงหาลูกค้าใหม่ การรักษาลูกค้าเดิม และการเพิ่มโอกาส ในการทำธุรกิจ ซึ่งกลยุทธ์หรือกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ที่นำเสนอให้แก่ลูกค้าก็มีทั้งที่ลูกค้าชอบ สามารถสร้างความตื่นเต้นตื่นตาให้กับลูกค้าได้ หรือบางครั้ง ก็ไม่เป็นที่สะดุดใจแก่ลูกค้าก็เป็นได้
สำหรับนักขายตรงก็ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงเพื่อจะทำให้ลูกค้าซื้อ สินค้าและบริการขององค์กร ซื้อแล้ว ซื้ออีก บอกต่อและเป็นปากเสียงแทนองค์กร โดยลูกค้าจะซื้อก็ต่อเมื่อลูกค้าพอใจ ซึ่งความพอใจของลูกค้าแต่ละคน ก็จะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านอารมณ์และปัจจัยด้านผลประโยชน์ที่ลูกค้าได้คาด หวังไว้ ดังนั้นหน้าที่สำคัญของนักขายตรงก็คือต้องทำให้ลูกค้าพอใจ การทำให้ ลูกค้ารู้สึกว่าสินค้าหรือบริการมีความแตกต่างเหนือคู่แข่งขัน ทำให้ลูกค้ารู้สึก มั่นใจและรับรู้ในประสบการณ์ดีๆ จากสินค้าหรือบริการเหล่านั้น และถ้าองค์กร มีการความผูกพันที่ดีกับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพก็จะสามารถเข้าไปยึดพื้นที่ อยู่ในใจของลูกค้าได้อย่างถาวร การสร้างความผูกพันเป็นเสมือนการสร้างความ ใฝ่ฝัน ความหลงใหล โดยพิจารณาจากความพึงพอใจทางอารมณ์และความรู้สึก ภายใน เพื่อสร้างประสบการณ์ตรงให้เกิดขึ้น มีการแลกเปลี่ยนและนำไปสู่ประสบการณ์ที่สร้างความสำเร็จแก่ลูกค้าต่อไป
การสร้างความผูกพันกับลูกค้าก็เป็นแนวคิดสำคัญที่จะช่วยให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจได้ รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร มีความตระหนักถึง และ จงรักภักดีต่อองค์กร โดยการสร้างความผูกพันกับลูกค้าสำหรับนักขายต้องอาศัยเทคนิค 4 ประการดังต่อไปนี้
1. ความแตกต่าง นักขายตรงจะต้องสร้างสรรค์กิจกรรมที่หลากหลาย ใช้ทั้งศาสตร์ ศิลปะ และประสบการณ์มาพัฒนารูปแบบการนำเสนอหรือการสื่อสารกับลูกค้าให้มีความทันสมัย ต่อเนื่องสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า โดยนักขายตรงจะต้องกล้าที่จะแตกต่าง เพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้ลูกค้าเกิดความตื่นตาตื่นใจและยอมรับในสิ่งที่แตกต่าง โดยความแตกต่างที่นัก ขายตรงจะนำเสนอต้องเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นจากความต้องการที่แท้จริง ของลูกค้าที่ยังไม่ได้รับการตอบสนอง ถือเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งและสร้าง ภูมิคุ้มกันให้นักขายตรงมีศักยภาพการเติบโตเพิ่มมากขึ้น
2. ความต่อเนื่อง นักขายตรงจะต้องมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริงที่จะสร้างความผูกพันกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง มีการนำเสนอกิจกรรมต่างๆ ให้กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นทั้งกิจกรรมที่ทำให้ลูกค้าเกิดการตัดสินใจเร็วขึ้น หรือเป็นกิจกรรมที่เน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพื่อสร้างความจงรักภักดีในระยะ ยาว ตลอดจนอาจเป็นการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ สำหรับลูกค้าพิเศษที่อยู่กับเรา อย่างยาวนาน หรือเป็นการเอาใจใส่ฟูมฟักดูแล อำนวยความสะดวกลูกค้าอย่าง ต่อเนื่องตลอดเวลาด้วยความเสมอภาค
3. ความมีตัวตน กิจกรรมการสร้างความผูกพันกับลูกค้าจะต้องนำเสนอให้ลูกค้ารับรู้ หรือรู้สึกว่ามันสามารถจับต้องได้ มีความเป็นจริง มีโอกาสเป็นไปได้ ไม่ใช่เป็นการเพ้อฝัน หรือการกล่าวเกินจริง นักขายตรงต้องเน้นการสร้างสรรค์บริการและกิจกรรมที่ลูกค้าสามารถรู้สึกว่าสัมผัสได้เพื่อให้ลูกค้าเกิดประสบการณ์ที่ดี หรือเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้าด้วยกระบวน การเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง ซึ่งอาจเป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ลูกค้ามีส่วนร่วมและได้แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันและกันอย่างมีประสิทธิผล และนักขายตรงต้องพร้อมเสมอในการ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้าได้สัมผัส โดยต้องสื่อสารกับลูกค้าให้เกิดความ เข้าใจอย่างถูกต้องชัดเจน
4. ความศรัทธา เป็นการสร้างความไว้วางใจให้ลูกค้าเกิดการยอมรับ เชื่อ มั่นในตัวบุคคลและองค์กรอย่างยึดมั่นถือมั่น โดยนักขายตรงต้องเริ่มต้นด้วย ความจริงใจ ปลุกพลัง สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าสนใจและเปิดใจ เพื่อนำไปสู่การ ทดลองซื้อหรือใช้สินค้าและเกิดการยอมรับ โดยนักขายตรงต้องพึงระลึกเสมอ ว่า ก่อนที่จะให้คนอื่นเชื่อมั่นในตัวเรา เราก็ต้องเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำเสียก่อน และที่สำคัญ นักขายตรงต้องมีสัจจะ รักษาคำมั่นสัญญา แสดงออกถึงความจริงใจต่อลูกค้าและคนรอบข้างอย่างตรงไปตรงมาทั้งต่อหน้าและลับหลัง

การเจรจาต่อรองที่มีประสิทธิผล ..

..


การเจรจาต่อรองเป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญ เพราะคนที่มีเทคนิค การต่อรองชั้นยอดสามารถสร้างข้อได้เปรียบให้แก่งานของตนเอง ตลอดจนสร้างประโยชน์ให้แก่องค์กรได้มากมาย อย่างไรก็ตามการ ต่อรองที่เหมาะสมนั้น ต้องทำให้ทุกฝ่ายอยู่บนเงื่อนไขที่ดีที่สุด ลงตัวที่สุด ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน (Win-Win) การมุ่งที่การเอาชนะ เอาเปรียบอีกฝ่าย มุ่งแต่ผลประโยชน์ของตัวเองแต่เพียงอย่างเดียว คงไม่ใช่ทางออกสำหรับการทำธุรกิจในยุคนี้เป็นแน่
การเจรจาให้ได้ผลนั้น ต้องมีการเตรียมตัวที่ดี กล่าวคือ คุณต้องเตรียม จุดมุ่งหมายของการพูด ศึกษาความเป็นไปได้ว่าเรามีแนวโน้มสักกี่มากน้อย ที่จะประสบความสำเร็จ และที่ขาดไม่ได้คือ หาข้อมูลของลูกค้าที่จะเข้าพบ อาจต้องซ้อมหลายๆ ครั้งว่าจะเข้าไปพูดอย่างไร จะสร้างความน่าสนใจให้ผู้ฟัง ได้อย่างไรด้วยนะครับ ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทกว้างๆ คือ
1. ชอบวางอำนาจ พูดจาก้าวร้าว ใจร้อน วางตัวเป็นใหญ่ เมื่อพบคนแบบนี้ สิ่งที่ควรทำคือทำพยายามพูดให้ตรงประเด็นที่สุด
2. เฉย พูดน้อย ไม่แสดงความรู้สึก ต้องชวนคุยกระตุ้นให้เกิดความสนใจ วิเคราะห์หาความต้องการที่แท้จริงให้เจอ
3. ประเภทขาดความเชื่อมั่น สองจิตสองใจ หรือตัดสินใจช้า ต้องไม่เร่งลูกค้ามาก จนเขาขยาดเรานะครับ พยายามให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อ การตัดสินใจของเขา ตลอดจนอ้างอิงบุคคลที่สาม เพื่อสนับสนุนข้อเท็จจริงต่างๆ
4. ประเภทละเอียดทุกขั้นตอน เราก็ต้องละเอียดตาม อธิบายเนื้อหาให้ชัดเจน ตัวเลขถูกต้อง ทำให้เขารู้สึกว่าเราเป็นคนรอบคอบและไม่คิดเอาเปรียบเขา

เมื่อเราผ่านช่วงต้นของการเตรียมตัวเพื่อการเจรจา ดังข้างต้นไปแล้ว คุณต้องใช้กลยุทธ์ในการเจรจาต่อรอง ดังต่อไปนี้
l พยายามหาความต้องการของทั้งสองฝ่าย ด้วยการรู้จักฟัง และใช้เทคนิคการถามที่ถูกต้อง อาจจะเป็นคำถามแบบปลายเปิด ปลายปิด หรือ มีตัวเลือกบ้างสลับกันไปเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงประเด็น
l ทำให้ลูกค้ารู้สีกเป็นหนึ่งเดียวกับเรา เสนอสิ่งที่ตรงกับความต้องการ ของเขาให้ได้ อย่าเสนอแต่ในสิ่งที่เรามีเพียงอย่างเดียว รวมถึงดูข้อจำกัดของแต่ละฝ่ายว่ามีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น เวลา อำนาจการตัดสินใจ และ งบประมาณ หรือเงินนั่นเองครับ
l ใช้วิธีพูดคุย เกลี้ยกล่อมให้เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เพราะนี่คือ ขั้นตอนแห่งการพยายามทำให้ลูกค้าตกลงตามที่เราต้องการ โดยคุณจะ ต้องยกเหตุผลจูงใจต่างๆ มาเสริมเพื่อให้ลูกค้าคล้อยตามคำพูดของเรา อย่างไร ก็ตามคุณต้องรู้จักคำว่า “ให้” และทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่า หากทำธุรกิจกับเราแล้วมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้จริง
l สร้างกำลังใจ ในตัวเอง เพราะหากเรามีกำลังใจดี ประกอบกับ ความพร้อมของข้อมูลต่างๆ จะทำให้เราเกิดความมั่นใจ กล้าพูด หรือแสดง ความคิดเห็นต่างๆ และพร้อมที่จะเปิดการเจรจาในทุกเมื่อ
ทั้งหมดไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่ก็น่าจะพอช่วยให้การเจรจาต่อรองครั้งต่อไป ของคุณไม่ใช่เรื่องยากหากแต่ความผิดพลาดที่มักจะเกิดในการเจรจา ก็คือ การพูดวนไปวนมาที่เดิม บางครั้งมากเกินไปจนดูไร้สาระ ประชดประชัน เยาะเย้ย ข่มขู่เพื่อเอาชนะ ทำตัวอวดฉลาด ประเมินว่าฝ่ายตรงข้ามด้อยกว่าเรา และการไม่กล้าปฏิเสธหรือ ไม่กล้าต่อรอง ขจัดความไม่กล้าออกไป ครับและปรับใช้แนวทางที่ผมนำเสนอ ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน



(

ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิ



+

การสร้างความยอมรับให้เกิดกับผู้บริโภคที่เกี่ยวกับสินค้าของธุรกิจขายตรงนั้น จะต้องดำเนินการเริ่มต้นจากการสร้างความเข้าใจในตัวระบบธุรกิจ ให้ผู้บริโภคเข้าใจเกี่ยว กับธุรกิจ หลังจากนั้นจะเป็นการให้ผู้บริโภคได้รู้จักกับสินค้าและบริการของธุรกิจขายตรง โดยจะนำเสนอข้อมูลซึ่งเป็นความจริง ไม่โอ้อวด หรือการนำเสนอสรรพคุณเกินความจริง เพราะนี่คือผู้บริโภคยุคใหม่ที่พร้อมสำหรับการหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจของ ตนเองได้เสมอ ดังนั้นในปัจจุบันนี้จึงเห็นว่า ธุรกิจขายตรงเองคงจะต้องปรับตัวเองเพื่อให้ เหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พยายามเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเพื่อให้ผู้บริโภคเชื่อถือและเชื่อมั่นต่อสินค้าและบริการที่จะนำเสนอต่อไปจากนี้ และจะต้องมีความเข้าใจ กลุ่มผู้บริโภคในแต่ละช่วงวัยว่ามีความต้องการแตกต่างกันอย่างไร ทำให้สิ่งสำคัญคือ ความ เข้าใจต่อกลุ่มผู้บริโภคซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของตนเอง บริษัท นาโน เซิร์ช จำกัด ได้ดำเนินการสำรวจมุมมองของผู้บริโภค ในแง่ของพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าในหมวดของ ธุรกิจขายตรง และการเลือกซื้อสินค้าโดยทั่วไป เกี่ยวกับความแตกต่างในการเลือกซื้อ ดำเนิน การศึกษาเฉพาะพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 200 ตัวอย่างต่อครั้ง โดย นำข้อมูลมาทำการเปรียบเทียบระหว่างแนวคิดของผู้บริโภคใน ปี 2553 และข้อมูลของ ผู้บริโภคในปี 2554
เริ่มต้นด้วยพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อการเลือกซื้อสินค้า (ขนาดของสินค้า) ว่าโดย ส่วนใหญ่แล้วลักษณะของการเลือกซื้อนั้น ผู้บริโภคมีพฤติกรรมอย่างไร ซึ่งพบว่าพฤติกรรม นั้นมีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ในปี 2553 ผู้บริโภคนิยมการเลือกซื้อแบบเลือกซื้อชิ้นใหญ่ๆ ซื้อครั้งเดียวใช้นาน คิดเป็น 44.0% แต่ในปี 2554 พฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคโดยส่วนใหญ่ คือ การเลือกซื้อในขนาดที่เหมาะสมไม่เล็กหรือใหญ่จน เกินไป คิดเป็น 62.0% จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนในเรื่องของพฤติกรรมการเลือกซื้อ จะ มีความสัมพันธ์กับระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากผู้บริโภคนั้นจะมีพฤติกรรม การเลือกซื้อแบบระมัดระวังในการใช้จ่ายเงินมากขึ้นอย่างเห็นได้อย่างชัดเจน
ผู้บริโภคเกิดการตัดสินใจอย่างไรในการเลือกซื้อสินค้าประเภทเดียวกัน ซึ่งมีจำหน่าย ทั้งในธุรกิจขายตรงและทั่วไป เช่น สินค้าประเภทผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร หรือเครื่องสำอาง พบว่า ในปี 2553 นั้นผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าในธุรกิจขายตรงใช้เป็นประจำ อยู่แล้วก็ยังคงมีพฤติกรรมเลือกซื้อสินค้าในธุรกิจขายตรงมากกว่าจะไปเลือกซื้อสินค้าดังกล่าวในสินค้าโดยทั่วไป โดยเหตุผลหลักซึ่งทำให้เกิดการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าในหมวด ธุรกิจขายตรงเป็นครั้งแรกเนื่องจากผู้บริโภคมีความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้ามากกว่า จะต้องไปเดินเลือกซื้อเอง จึงทำให้เกิดพฤติกรรมการเลือกซื้อในธุรกิจขายตรงขึ้น
แต่จะเห็นได้ว่าในปี 2554 นั้น ผู้บริโภคเห็นว่าจะเลือกซื้อสินค้าดังกล่าวที่มีจำหน่าย โดยทั่วไปมากกว่าจะไปเลือกซื้อของธุรกิจขายตรง ซึ่งเหตุผลในการเลือกซื้อในสินค้าทั่วไป นั้นเนื่องจากผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพและคุณภาพของสินค้า และยังคงติดกับยี่ห้อ (Brand) สินค้าของเก่าที่เคยใช้อยู่ (ซึ่งเป็นสินค้าที่จำหน่ายโดยทั่วไป) จึงทำ ให้ผู้บริโภคยังคงใช้สินค้าเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนใจมาเลือกซื้อสินค้าของธุรกิจขายตรง
สำหรับพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้า และการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของธุรกิจขายตรงและสินค้าซึ่งมีจำหน่ายโดยทั่วนั้น พบว่า ผู้บริโภคในภาพรวมนั้นมีพฤติกรรมของการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าแตกต่างกัน (องค์ประกอบ/ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกซื้อ) แตกต่างกัน ไม่ว่าผู้บริโภคในปี 2553 และ ในปี 2554 ต่างก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่า ผู้บริโภคนั้นสามารถแยกแยะข้อมูล หรือความแตกต่างของสินค้าที่จำหน่ายในระบบ ธุรกิจขายตรงและระบบการจำหน่ายสินค้าโดยทั่วไปได้ และใช้ข้อมูลต่างๆ สำหรับการ ตัดสินใจแตกต่างกันออกไปด้วยเช่นกัน
ในช่วงสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังแปรปรวนเช่นนี้ ผู้เกี่ยวข้องหลายส่วนจะต้องพร้อม รับมือและเรียนรู้แนวคิดของผู้บริโภค ควบคู่ไปกับศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยน แปลงไปตามสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะในยุคของสังคมออนไลน์ที่ข้อมูลข่าวสารกระจาย อย่างทั่วถึง กระตุ้นการตัดสินใจเลือกซื้อหรือไม่เลือกซื้อได้ง่ายกว่ายุคก่อน

เทคนิคการสื่อสารของนักขายตรง

ภายใต้สภาวะสิ่งแวดล้อมทางการตลาดในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและยากนักที่จะคาดเดาอะไรได้ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการดำเนินงานของนักขายตรงทั้งด้านบวกและด้านลบคละเคล้ากันไป ทำให้นักขายตรงต้องมีการตื่นตัวและมีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าจนลูกค้าเกิดความประทับใจ และตัดสินใจซื้อสินค้า และบริการหรือเป็นทีมงานสมาชิกขององค์กรที่มีประสิทธิภาพต่อไป
การดำเนินงานของนักขายตรงส่วนใหญ่ต้องเผชิญหน้ากับลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงทำให้การสื่อสารกับลูกค้าเป็นอีกกิจกรรมที่มีความสำคัญมาก ซึ่งนักขายตรงจะต้องใส่ใจในทุกรายละเอียดและในทุกจุดสัมผัสกับลูกค้า ต้องทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจและสามารถมัดใจลูกค้าได้
การสื่อสารของนักขายตรงเป็นการสื่อสารแบบสองทางในลักษณะเผชิญหน้าที่สามารถโต้ตอบและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้โดยทันที ซึ่งในการสื่อสารกับลูกค้าแต่ละคนแต่ละกลุ่มก็จะมีความหลากหลายแตกต่างกันไปตามสถานการณ์และความต้องการของลูกค้าแต่ละกลุ่ม เพื่อทำให้การสื่อสารของนักขายตรงมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักขายตรงอาจต้องอาศัยเทคนิคดังต่อไปนี้
1.เป็นผู้ฟังที่ดี ให้ลูกค้าได้มีโอกาสพูด โดยนักขายตรงต้องมีความเต็มใจและตั้งใจในการรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของลูกค้าอย่างมีสติ ในระหว่างการเผชิญหน้ากับลูกค้านักขายตรงจะพยายามให้ลูกค้าพูดคุยเพื่อบอกข้อมูลที่มีประโยชน์ซึ่งเกี่ยวข้องกับความต้องการของลูกค้าแต่ละคนออกมาให้มากที่สุด เพราะหากเรายิ่งรู้จักลูกค้ามากเท่าใดก็จะทำให้การสื่อสารกับลูกค้าก็จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ถึงความต้องการที่ลูกค้าอยากได้เพื่อใช้เป็นแนวทางในการกำหนดวิธีการสื่อสารให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าดังกล่าว
2.เข้าถึงจังหวะเวลาและโอกาส ไม่สร้างความรำคาญให้กับลูกค้า หรือยัดเยียดข้อมูลข่าวสารให้ลูกค้ามากเกินไป นักขายตรงต้องศึกษาข้อมูลของลูกค้าเพื่อหาช่วงจังหวะที่เหมาะสมเพื่อที่จะเข้าไปพบปะพูดคุย หรือใช้วิธีการให้เหมาะสมกับแต่ละสถานการณ์หรือแต่ละโอกาส ซึ่งเวลาที่เหมาะสมในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารก็ต้องคำนึงถึงเวลาของลูกค้าเป็นหลัก ดังนั้นนักขายตรงต้องมีการบริหารเวลาที่มีประสิทธิภาพ มีความตรงต่อเวลา ยืดหยุ่นได้ และสามารถใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าและก่อให้เกิดผลประโยชน์มากที่สุด
3.ข้อมูลข่าวสารเข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา ชัดเจน เป็นจริง ข้อมูลข่าวสารถือว่าเป็นเนื้อหาสาระที่ใช้ในการสื่อสารกับลูกค้าซึ่งอาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ หรือสื่อสัญลักษณ์ต่างๆ โดยนักขายตรงต้องมีข้อมูลพร้อม และมีการเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี แสดงถึงความเป็นมืออาชีพ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าได้ เมื่อลูกค้ามีข้อซักถามหรือสงสัยก็สามารถอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจได้อย่างชัดเจน หรือหากลูกค้ามีข้อโต้แย้งก็สามารถนำเสนอขจัดข้อโต้แย้งของลูกค้าได้
4.ลักษณะเฉพาะราย ไม่เหวี่ยงแห นักขายตรงจะต้องไม่ลืมว่าลูกค้าคือคนสำคัญเสมอ และลูกค้าก็ต้องการได้รับการตอบสนองจากนักขายตรงที่โดนใจสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละรายในลักษณะเฉพาะ ซึ่งเป็นการแสดงออก ให้ลูกค้ารับรู้ว่าลูกค้าคือคนสำคัญสำหรับองค์กร โดยนักขายตรงต้องตระหนักว่าความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายมีความแตกต่างกัน เพื่อให้การสื่อสารแต่ละครั้งเกิดประสิทธิผลสูงสุดดังนั้นการสื่อสารกับลูกค้าแต่ละรายก็จะต้องแตกต่างกันด้วย
5.ใส่ใจสิ่งรอบข้าง สร้างบรรยากาศที่ดี ให้ลูกค้ารู้สึกคล้อยตาม โดยนักขายตรงต้องตรวจตราหรือเฝ้ามองเอาใจใส่บรรยากาศรอบๆ เพื่อเตรียมพร้อมในการสื่อสารกับลูกค้า ด้วยบรรยากาศที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าตามที่ลูกค้าคาดหวังไว้ การใช้คำพูดของนักขายตรงก็ต้องสอดคล้องกับสถานการณ์และบรรยากาศต่างๆ ด้วย ซึ่งนักขายตรงจะต้องใช้การสังเกต ไหวพริบและวิจารณญาณในการสร้างบรรยากาศที่ดีในการสื่อสารกับลูกค้า จนสามารถทำให้ลูกค้าเกิดความหลงใหลและคล้อยตามในตัวนักขายตรงและองค์กรรวมทั้งผลิตภัณฑ์หรือบริการ
6.ผู้ฟัง (ลูกค้า)เป็นใหญ่ แต่ผู้สื่อสาร (นักขายตรง) จะต้องเป็นผู้คุมเกม เป็นการสรุปถึงแนวคิดทั้งหมดที่ใช้ในการสื่อสารกับลูกค้า ซึ่งต้องเน้นและให้ความสำคัญกับความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าเป็นหลัก แต่เป็นไปไม่ได้ที่นักขายตรงจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ทั้งหมด ดังนั้น นักขายตรงต้องเป็นผู้คุมเกมในระหว่างการสื่อสาร โดนนักขายตรงต้องมีการวางแผนวิธีการสื่อสารกับลูกค้าแต่ละรายแต่ละกลุ่มอย่างรอบคอบและต้องจัดลำดับความสำคัญของลูกค้าเพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิผลสูงสุด และนักขายตรงต้องมีความมั่นใจในตัวเอง มั่นใจในความสามารถเพื่อทำให้ลูกค้าความเชื่อมั่นศรัทธา แล้วพิชิตใจลูกค้าให้ได้
เทคนิคการสื่อสารเป็นเครื่องมือสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้นักขายตรงสามารถพิชิตใจลูกค้าได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับทัศนคติของนักขายตรงแต่ละคนที่จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้มาน้อยแค่ไหน ขอให้นักขายตรงทั้งหลายมีความสุขและสนุกกับอาชีพนักขายตรง

ความสำคัญในการจัดประชุมลูกทีม

ในธุรกิจขายตรงระบบเครือข่ายหรือขายตรงหลายชั้นนั้น นักธุรกิจหรือนักขายจะประสบความสำเร็จ ได้ นอกเหนือจากความตั้งใจ, วินัย และความจริงจังในการทำธุรกิจ และความเชื่อมั่นในการที่จะสร้างฝันแห่งโอกาสทางด้านรายได้ให้เป็นความจริง แต่เพียงแค่นี้ยังไม่พอหรอกค่ะ เพราะนักธุรกิจหรือนักขายที่ดีนั้นจะต้องทำธุรกิจอย่างเป็นกระบวนการและเป็นไปตามหลักการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเครือข่ายและพัฒนาลูกทีมในสายงานของตน การสร้างการขายที่ดีและต่อเนื่องรวมถึงการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
และสิ่งสำคัญที่จะขาดไม่ได้ในการทำธุรกิจของผู้ที่เป็นแม่ทีมนั้น ก็คือการจัดประชุมกับลูกทีมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการจัดประชุมในแต่ละครั้งนั้น ควรจะมีองค์ประกอบหลักๆ ดังต่อไปนี้
l สรุปผลงานของลูกทีม ชมเชยและตอกย้ำในผลงานที่สามารถทำได้ดีและวางแผนให้ชัดเจนในผลงานที่ต้องปรับปรุง แก้ไข
l การศึกษารายละเอียดของโปรแกรมสนับสนุนให้ชัดเจนและต้องมีการวางแผนอย่างต่อเนื่อง สำหรับโปรแกรมที่เป็นโปรแกรมต่อเนื่อง ราย 2 เดือน รายไตรมาส ครึ่งปี หรือโปรแกรมที่จัดต่อเนื่องทั้งปี
l รายละเอียดของรางวัลหรือผลตอบแทนที่แม่ทีมและลูกทีมจะได้รับในแต่ละโปรแกรม
l การวางแผนงานอย่างรอบคอบ ว่าจะบรรลุเป้าหมายในรอบต่อไปอย่างไร ไม่ว่าจะเป็น การตั้งเป้าหมาย ของทีม การติดตามผล และการใช้เครื่องมือสนับสนุนที่ทางบริษัทมอบให้ใช้อย่างเป็นประโยชน์มากที่สุด
แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการจัดการประชุมก็คือการให้กำลังใจกับลูกทีม การนำเอารายงานผลงานมาวิเคราะห์ การให้ลูกทีมที่ประสบความสำเร็จได้แบ่งปันรูปแบบและเทคนิคในการทำงานเพื่อพิชิตเป้าหมาย จะช่วยให้ทีมงานที่เหลือได้เรียนรู้และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานตนเองได้
การจัดประชุมอาจมีหลายรูปแบบ เช่น การจัดประชุมแบบตัวต่อตัว การจัดประชุมเป็นกลุ่มหรือเป็นสายงาน หรือการจัดประชุมในองค์กรของแม่ทีมใหญ่ ซึ่งการจัดประชุมอาจมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน นอก จากนี้การนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารก็เป็นสิ่งสำคัญและแสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ของทีม โดยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้กับการประชุม ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ Net Meeting/Conference Call เป็นต้น และยังหมายรวมถึงการใช้ประโยชน์จากเว็บไซต์ เพราะบริษัทขายตรงส่วนใหญ่ได้พัฒนาระบบเว็บไซต์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่แม่ทีมเพื่อสามารถเข้าไปเช็กยอดขายงานและผลงานประจำรอบผ่านทางเว็บไซต์ และยังสามารถเข้าไปดูยอดขาย, ผลงาน และสถานะของลูกทีม เพื่อช่วยสนับสนุนและดูแลลูกทีมในเรื่องของการทำงานได้อย่างทั่วถึง และพร้อมที่จะทำให้ แม่ทีมบริหารงานในเครือข่ายของตนเองได้อย่างถูกต้อง และเต็มประสิทธิภาพ
และที่สำคัญการจัดประชุมที่มีประสิทธิภาพ นอก จากจะทำให้สามารถวิเคราะห์และปรับรูปแบบการทำงาน แล้ว ยังเป็นการแสดงถึงพลังของทีมเวิร์กและการก้าวสู่ความสำเร็จของทีมไปพร้อมๆ กัน และเมื่อลูกทีมประสบความสำเร็จก็จะส่งผลถึงความสำเร็จของแม่ทีม นอกจากนี้การสร้างความสำเร็จบนพื้นฐานของการทำงาน ที่ถูกต้อง และเป็นระบบการสื่อสารและการติดตามผลที่ดี มีส่วนสำคัญในการทำงานระบบ Network ซึ่งเวทีในการจัดประชุมเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่จะทำให้เกิด การพัฒนาความเข้าใจในการทำงาน การยกย่องให้กำลัง ใจ การวางแผนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้ค่ะ

สร้างโอกาสทางการขาย

..


สินค้าที่นำเสนอขายในท้องตลาดมีหลากหลายและจำนวนมาก โดยในการเลือกหาสินค้าเพื่อนำเสนอขายให้กับผู้บริโภค จะต้องเป็นสินค้าที่สามารถ ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้ ซึ่งนักขายตรงจะต้องยึดหลัก 4 ประการ คือ สินค้าถูกต้อง (Right Goods) ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทั้งด้านรูปแบบและความหลากหลายของตัวสินค้า ในเวลาที่ต้องการ (Right Time) ซึ่งหมายถึงสินค้าต้องพร้อมที่จะนำเสนอขายอยู่เสมอ ลูกค้าต้องการเวลาใดก็ได้ มีราคาที่เหมาะสม (Right Price) เป็นราคาที่ผู้บริโภคยอมรับได้ ซึ่งราคาจะต้องมีความหลากหลายและเหมาะสมกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย และ ในปริมาณที่ถูกต้อง (Right Quantity) สินค้าในธุรกิจขายตรงจะต้องมีปริมาณ ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้บริโภค นักขายตรงจะต้องกำหนดจำนวนที่ ถูกต้องให้สอดคล้องกับปริมาณการขาย
การนำเสนอสินค้าและบริการถือว่าเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญมากของ นักขายตรง โดยนักขายตรงต้องสามารถหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในเวลาที่เหมาะสม มีปริมาณที่เพียงพอ เสนอขายในราคาที่ลูกค้ายอมรับ และสามารถหาซื้อได้ มีการกำหนดความต้องการสินค้าของลูกค้า ซึ่งถือว่าเป็น การพยากรณ์ยอดขายล่วงหน้าเพื่อใช้ในการวางแผนเกี่ยวกับสินค้าที่จะเสนอขาย ให้สินค้ามีพร้อมที่จะขายในสถานที่ เวลา และด้วยราคาที่เหมาะสม เพื่อ นำเสนอขายให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจนสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจ
ในการพิจารณาเพื่อเลือกสินค้ามานำเสนอให้แก่ลูกค้าเป้าหมายนักขาย ตรงต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1. ความปรารถนา (Desire) หรือความคาดหวัง (Expectation) ของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ในการพิจารณาเลือกสินค้าที่จะมานำเสนอต้องถูกกำหนด โดยความสนใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นสำคัญ โดยมีหลายรูปแบบตามลักษณะของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งแสดงออกมาจากพื้นฐานของความต้องการ และ ความปรารถนาหรือความคาดหวังของพวกเขา เช่น บางกลุ่มจะสนใจสินค้าสุขภาพ บางกลุ่มให้ความสำคัญกับราคา บางกลุ่มสนใจคุณภาพของสินค้าเป็น หลัก หรือบางกลุ่มสนใจถึงความทันสมัยและเทคโนโลยี เป็นต้น นอกจากนี้ความสนใจของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอาจจะมาจากเหตุผลของรายได้ สังคม หรือสภาพความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน
2. ความหลากหลายของสินค้า (Variety) เป็นการพิจารณาความหลากหลายของสินค้าที่จะนำเสนอ การมีสินค้าที่จะเสนอขายมากมายหลายชนิด หรือการมีสินค้าจำหน่ายหลายๆ แบบให้เป็นทางเลือกอย่างครบถ้วน (Consistency) เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย
3. ภาพลักษณ์ (Image) ของสินค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะสื่อถึงความ เป็นตัวตนของนักขายตรงและจะถ่ายทอดสู่สินค้าที่จะนำเสนอ ซึ่งต้องมีความ สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย โดยภาพลักษณ์อาจมองได้ใน หลายลักษณะ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการนำเสนอ รูปแบบการบริการ และสินค้าที่นำ เสนอ ส่งผลให้รับรู้ถึงลักษณะและประเภทของสินค้าและบริการของนักขายตรงด้วย
4. การแข่งขัน (Competition) เป็นสิ่งที่นักขายตรงจะต้องติดตามสถานการณ์และความเคลื่อนไหวต่างๆ ของสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องด้วยเพื่อที่จะพัฒนา ความหลากหลายของสินค้าที่เพิ่มขึ้นหรือมีความแตกต่างในด้านต่างๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดความสนใจของลูกค้าเป้าหมาย
ดังนั้นนักขายตรงจะต้องมีการพัฒนาและจัดหาสินค้าชนิดใหม่หรือใช้ เทคนิคใหม่ๆ ที่ทันสมัยมานำเสนอให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการแข่งขัน และความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจนสามารถสร้างภาพลักษณ์สอดคล้องกับลักษณะการดำเนินงานและการให้บริการเพื่อเป็นการสร้างโอกาสทางการขายให้ประสบความสำเร็จ

เพื่อนแท้ระหว่างทาง

+

ในแง่ของการทำงาน “ความสำเร็จ” คือเป้าหมายที่ใครหลายๆ คนวาดหวังไว้ แต่จะมีสักกี่คนที่สามารถคว้าเส้นชัยมาได้ และยัง คงไว้ซึ่งมิตรภาพระหว่างทางไว้ได้มากที่สุด หลายๆ คนได้เป็นเจ้าของความสำเร็จตามความปรารถนา แต่พอหันมองกลับไปยังจุดที่เขามา สิ่งที่เห็นหาใช่ เสียงปรบมือ รอยยิ้ม หรือคนที่คุ้นเคย แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้า คือ ความว่างเปล่าที่เป็นผลมาจาก ความสำเร็จของตน
การที่ใครสักคนหนึ่งมีความฝันและต้องการสร้างความฝันนั้นให้กลายเป็นความจริง เป็นสิ่งที่น่ายกย่องและควรให้การสนับสนุนตามแนวทางที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับการสร้างทีมงานในการทำธุรกิจเครือข่าย สิ่งหนึ่งที่มักจะถูกมองข้ามและถูก จัดลำดับให้มีความสำคัญน้อยเมื่อเทียบกับวัตถุ นิยมพื้นฐานที่ทุกคนต่างอยากจะเป็นเจ้าของ ไม่ว่า จะเป็นอิสรภาพทางการเงิน บ้านหลังใหญ่มูลค่าหลายล้านบาท และรถหรูคันงาม ก็คือ “มิตรภาพ” ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมิตรภาพต่างหากที่ควร จะถูกหยิบยกขึ้นมาให้อยู่เหนือกว่า เหตุผลที่เป็น เช่นนั้นอาจจะด้วยเพราะคนให้ความสำคัญกับวัตถุ นิยมซึ่งเป็นรูปธรรม ซึ่งสามารถจับต้องได้ มากกว่ามิตรภาพที่เป็นเพียงนามธรรม
วัตถุนิยมที่ใครๆ หลายคนปรารถนา สามารถ ช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นและสามารถสนับสนุนให้เกิดโอกาสในสังคมได้สูงขึ้นกว่าก็จริง แต่ในขณะเดียวกันคงจะดีไม่น้อย ถ้าระหว่างทางที่เรา เดินนั้น เราไม่ได้ทำร้ายใคร และไม่ได้สร้างความเดือดร้อนใดๆ ให้กับผู้อื่น คนบางคนมองเพียงเป้าหมายเพื่อที่จะก้าวไป ยังจุดนั้นเพียงจุดเดียว โดยหลงลืมไปว่าระหว่างทางกว่าที่เขาจะมาถึงตรงจุดนี้ เขาได้รับความช่วย เหลือและได้รับการสนับสนุนจากใครบ้าง สิ่งเหล่า นี้เป็นข้อคิดที่เราเองต้องให้ความสำคัญมากขึ้นกว่าเดิม เพราะดิฉันเชื่อว่าส่วนหนึ่งในความสำเร็จ ของเรามักจะมีมิตรภาพเกิดขึ้นระหว่างทางเสมอ อยู่ที่ว่าเราเลือกที่จะเก็บมิตรภาพนั้นไว้ หรือเลือก ที่จะทิ้ง ถ้าเราเลือกที่จะเก็บไว้ ในวันที่เราเหนื่อยล้า หรือวันที่เราได้ชัยชนะ โปรดจงมั่นใจได้ว่าเราจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างแน่นอน
แต่เมื่อใดที่เราเลือกที่จะทิ้ง เราก็ต้องพร้อมยอมรับกับความว่างเปล่าที่ไม่มีแม้เสียงปลอบโยน เมื่อยามคุณหมดหนทาง และไม่มีแม้รอยยิ้มในวัน ที่คุณประสบความสำเร็จ...Be nice with everyone on your way up, because you might meet them again on your way down.