วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

กำราบพุงแบบไฮเทค


   


เรื่อง นพ.ประยูร เจนตระกูลโรจน์

รสนิยม การไว้พุงของผู้ชาย ทั้งหน้าท้อง ห่วงยางหรือหลังเอว อันเป็นสัญลักษณ์ของพวกป๋า ๆ และอาเสี่ยในอดีตนั้นหมดสมัยไปแล้วครับคุณผู้อ่าน เพราะนอกจากจะมีผลต่อการใช้ชีวิตและนำมาซึ่งโรคภัยต่าง ๆ แล้วยังเป็นการบ่งบอกว่าคุณไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ

บาง คนปล่อยให้ไขมันสะสมเรื่อย ๆ จากพุงนิ่ม ๆ หย่อนคล้อยเป็นผิวเปลือกส้มหรือหนังไก่ กลายเป็นพุงโตกลมแข็งดูเหมือนซูโม่ นอกจากต้องออกกำลังกายควบคู่กับการคุมอาหารแล้ว อาจต้องเสริมด้วยการกำจัดไขมันโดยวิธีของแพทย์ เราจึงขอนำเสนอวิธีการกำจัดไขมันแบบที่เรียกว่า Non-invasiva หรือไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดหรือล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกาย ไม่ทำให้เจ็บตัว และได้มีวิวัฒนาการเรื่อยมาดังนี้

Massages

วิธี การนวดของผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จะช่วยเพิ่มระดับการไหลเวียนของเลือด และยังช่วยให้เซลล์ไขมันแตกตัว โดยต้องนวดแบบใช้แรงหรือลงน้ำหนักมาก ๆ ผิวหนัง กล้ามเนื้อและไขมันที่เชื่อมติดกันจะยืดหยุ่น และช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปได้ ออกซิเจนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเผาผลาญไขมัน ยิ่งร่างกายได้รับมาก จะยิ่งช่วยให้เกิดการเผาผลาญมากขึ้นการนวดอย่างเดียวนั้นจะไม่ทำให้ไขมัน สลายไปได้ แต่ต้องออกกำลังกายหรือทำงานที่ใช้แรงควบคู่ไปด้วยการนวดจึงเป็นการเตรียม ไขมันไว้สำหรับการกำจัดออกภายหลังโดยระบบการกำจัดของเสียของร่างกาย

Vacuum

เป็น ระบบนวดสุญญากาศผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์ตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน ช่วยสลายไขมัน ลดผิวเปลือกส้ม รอยแตกลาย และกระชับผิว เพราะระบบนวดสุญญากาศทำให้เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองได้เป็นอย่างดี

Infrared Ray

เป็น การใช้เครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกล ทำให้ร่างกายสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายที่ดีขึ้นของต่อมเหงื่อ เมื่อร่างกายขับเหงื่อได้มากขึ้นทำให้มีการขับเกลือโลหะหนักและไขมันออกมา มากขึ้นเช่นกัน

Diode Laser

ใช้ สารตัวกลางเลเซอร์เป็นสารกึ่งตัวนำส่งผ่านพลังงานและความร้อนไปยังเซลล์ ไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลายหรืออ่อนแอลงละลายอยู่ภายในพื้นที่ว่างระหว่างเนื้อ บริเวณนั้น และถูกขับออกมาโดยกระบวนการขับถ่ายตามธรรมชาติของร่างกาย

Mesotherapy

เป็น วิธีการใช้เข็มขนาดเล็ก และเจาะตื้นเพียงไม่กี่มิลลิเมตร โดยการส่งตัวยา และแร่ธาตุที่ใช้ในการเผาผลาญไขมันในปริมาณเข้มข้นเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อให้ไขมันแตกตัว ไม่นับว่าเป็นการกำจัดไขมันแบบ Invasive เหมือนกับ Carboxytherapy เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้อ้วนเกินไป หรือมีไขมันแค่เฉพาะส่วนเท่านั้น ทั้งนี้การรับรองมาตรฐานหรือความปลอดภัยยังไม่ชัดเจน

Radiofrequency

เครื่อง มือที่ใช้เทคโนโลยีนี้ จะมีการปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อนในรูปของคลื่นความถี่วิทยุออกมา พลังงานจากการแสไฟฟ้าในช่วงคลื่นความถี่ต่ำนี้สามารถผ่านทะลุผิวชั้นบนเพื่อ ไปเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังชั้นใน กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนรูปของพลังงานจากภายใน ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบโลหิตและระบบน้ำเหลืองบริเวณนั้น ๆ ไหลเวียนดีขึ้น เซลล์ไขมนแตกตัวออกจากกัน และถูกขับออกจากร่างกายด้วยระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะได้ผิวหนังที่กระชับขึ้นด้วย โดยทั่วไปการกำจัดไขมันด้วย เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุนั้นจะใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีอื่นด้วย เช่น Intrared, Diode Laser, Intense Pulsed Light และ Ultrasound เป็นต้น

Ultrasound

เป็น เทคโนโลยีล่าสุดของการสลายไขมันแบบ Non-invasive โดยการส่งคลื่นเสียงความถี่ต่ำแบบเฉพาะเจาะจงไปยังเซลล์ไขมัน ทำให้เยื่อบุเซลล์หลุดออกจากกัน และกระตุ้นให้เกิดการแตกตัวของเซลล์ไขมันให้กระจายเป็นอนุภาคย่อยในที่สุด โดยเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง เช่น เส้นเลือด ผิวหนัง และเส้นประสาท ไม่ได้รับความกระทบกระเทือน และอยู่ในรูปของสารที่สามารถละลายได้โดยง่ายในน้ำ ร่างกายจึงขับไขมันเหล่านี้ออกจากร่างกายโดยระบบการขับถ่าย และได้ผิวที่ตึงกระชับขึ้นไม่มีปัญหาผิวเป็นโพรงหลังทำทรีตเมนต์

ใน ปัจจุบันเป็นยอมรับกันว่า การสลายไขมันด้วยเทคโนโลยี Rediotrequency ผสานกับเทคโนโลยี Ultrasound มีความก้าวหน้า ปลอดภัย ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้นและได้ผลดีที่สุด แต่อย่าลืมควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะครับ หากคุณละเลยในจุดนี้ ไม่ว่าวิธีการกำจัดไขมันจะไฮเทคขนาดไหนก็คงเอาไม่อยู่หรอกครับ
Two-second Tip สร้างชิกแพ็คง่าย ๆ ได้ใน 3 วิธี

1. เอาไขมันออกจากร่างกาย โดยเน้นการควบคุมและจำกัดแคลอรีจากอาหารที่คุณได้รับในแต่ละวันให้อยู่ในสัดส่วนที่สมดุลกับพลังงานที่ใช้ไป

2. มีวินัยในการออกกำลังกายแบบคาร์ติโอหรือแบบที่ต้องการความต่อเนื่อง เช่น วิ่งบนลู่วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ต่อเนื่อง อย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมง

3. สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วยท่าฝึก เช่น การซิทอัพ โดยแต่ละคนจะใช้เวลาในการสร้างกล้ามเนื้อที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับไขมันที่สะสมในร่างกาย ระบบการเผาผลาญ อายุ โครงสร้างของกล้ามเนื้อและวินัยในการออกกำลังกาย
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก Men's Health

   






 







6 อาการผิดปกติธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

6 อาการผิดปกติธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา


อายุร แพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐฯ ต่างก็ยกให้ 6 อาการผิดปกติเหล่านี้อันตรายต่อสุขภาพ และไม่ควรเพิกเฉย เพราะจากแค่อาการผิดปกติเล็กน้อยที่ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ แต่ถ้ามีอาการหนักขึ้นและเป็นเรื้อรังนานกว่าปกติ อาจหมายถึงการมาเยือนของโรคร้ายก็ได้ 1. แค่นอนไม่หลับ อาจกลายเป็น โรคหัวใจ        เป็นอาการผิดปกติอันดับหนึ่งที่ควรบอกแพทย์ เพราะการนอนไม่หลับเพียงแค่ 1 คืนก็มีผลต่อหัวใจได้ ตั้งแต่การที่เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ จนถึงขั้นอาการหัวใจขาดเลือด หากมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยครั้งควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ในที่สุด

2. แค่ท้องผูก อาจกลายเป็น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่        อาการท้องผูก คือ การถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากปัจจัยบางอย่างขัดขวางการทำงานของลำไส้ ทำให้กากอาหารผ่านลำไส้ใหญ่ได้ช้าลง ซึ่งถ้ามีอาการท้องผูกเรื้อรัง (นานกว่า 3 สัปดาห์) ควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเสี่ยงเป็นโรคคริดสีดวงทวารหนัก และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

3. แค่ปวดหัว อาจกลายเป็น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ        ถ้ามีอาการปวดหัวที่ร่วมด้วยมีไข้ ปวดเมื่อยคอ คลื่นไส้อาเจียนติดต่อกันเป็นเวลานาน (2-3 วัน) ให้สันนิษฐานไว้ว่าไม่ได้เป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดาแน่นอน โดยเฉพาะอาการปวดหัวที่เพิ่มมากขึ้น แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด มีปัญหาเรื่องการมอง และมีอาการปวดต่อเนื่องนานกว่า 2-4 ชั่วโมงควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของสมองที่ติดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนกลาง ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคหุ้มสมองอักเสบได้ในเวลาต่อมา

4. แค่ปวดฟัน อาจกลายเป็น ตาบอด
        หากหลังจากไปถอนฟันแล้วคุณยังมีอาการปวดฟันอยู่ และมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น ปวดกราม ปวดหน้านานเกินกว่า 7 วันควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าเส้นประสาทบริเวณใบหน้ากดทับกันอยู่ และถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอาจรุนแรงจนถึงข้นตาบอดได้

5. แค่ท้องเสีย อาจกลายเป็น ลำไส้อักเสบ         อาการท้องเสียติดต่อกันนานหลายวัน เป็นสัญญาณเตือนให้ระวังไว้ว่าร่างกายของคุณไม่ปกติอีกต่อไป อาจเป็นไปได้ว่าลำไส้ติดเชื้อปรสิต เป็นโรคโครนส์ (Crohn’s Disease) หรือลำไส้อุดตันบางส่วน มะเร็ง ตับอ่อนมีปัญหา ถุงน้ำดีมีปัญหา ดังนั้นเมื่อท้องเสียติดต่อกันนานเกิน 3 วันควรไปปรึกษาแพทย์ หลีกเลี่ยงการกินยาฆ่าเชื้อ เพราะส่วนประกอบบางชนิดในยาอาจฆ่าแบคทีเรียที่มีประโยชน์กับลำไส้ใหญ่ไปด้วย ซึ่งจะทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม

6. แค่กรดไหลย้อน อาจกลายเป็น มะเร็งหลอดอาหาร
        กรดไหลย้อนอาจมีสาเหตุมาจากอาการแสบร้อนกลางอก ฟันผุ และโรคหวัด ซึ่งสาเหตุเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อช่องท้องทุกครั้งที่มีการหายใจเข้าสู่ปอด และส่งผลให้เชื้อโรคกระจายติดไปทั่ว เนื่องจากการไหลย้อนของกรด ถ้ากระเพาะมีกรดมากอาจไหลล้นขึ้นมาถึงบริเวณหลอดอาหาร ทำให้มีผลต่อกล่องเสียง ลำคอ และปอดได้ หากมีอาการเรื้อรัง แต่ละเลยไม่ไปพบแพทย์อาจนำไปสู่โรคมะเร็งหลอดอาหารได้



ที่มา ... สุขกายสบายใจ





วันพฤหัสบดีที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2555

มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ

อานิสงส์การให้ทาน


1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้) อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า
เพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย
จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน
ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง
เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง
ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร ,
พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น
เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรคให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
  อานิสงส์ --- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา
สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า
ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร
ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ
สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้
ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข
ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่
ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร
สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา
จิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ
ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา
ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
านิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต
ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น
หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส
เป็นอิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา
ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม

11. ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก
เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง
จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก
ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง
กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษา

อานิสงส์ 10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์

1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้

1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ ( เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์
วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ
สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่าง เอนกทุกชาติของ ผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้ อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ

อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์ ( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )
1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ
ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการ
ให้คนได้บวช

ทั้ง หมด นี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึง จะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจ ไม่ได้รับบุญ ดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำ ติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสีย







 






คนใกล้ตายคิดอะไร

สิ่งที่มักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต โดยนักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ ที่บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วน ใหญ่ครับ

ประเด็นแรก อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้องการจะเป็น เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุด เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆท่าน ที่ในช่วงชีวิตหนึ่งถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่าน เอง

ประเด็นที่สอง เสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนที่ให้เวลากับงานมากเกินไป การแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไป สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมา การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่าน

ประเด็นที่สาม อยากกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตนเพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้รู้สึกว่าตนเองเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง

ประเด็นที่สี่ เสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ ละเลยความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง คนใกล้จะเสียชีวิตสุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยนึกถึง

ประเด็นสุด ท้าย เสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความสุขเท่าที่ควร เลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย กลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้หลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข

ดังนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ

วันพุธที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2555

อุจจาระตกค้างในลำไส้



อุจจาระตกค้างในลำไส้

เจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจ บางคนมีน้ำหนักอุจจาระถึง 10 กิโล

"ตะลึง"....คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่าเวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง

10 โล... แล้วเป็นเพราะอะไร???

เค๊าว่า "อุจจาระตกค้าง" อุจจาระตกค้าง เนื่องมาจาก

1. เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด
2. กินอาหารที่มีกากใยน้อย
3. มีพยาธิ หรือ เชื้อรา ทำให้ระบบย่อยอาหารผิดปกติ
4. ระบบดูดซึมเสีย เพราะน้ำมันพืชเคลือบทำให้น้ำที่ดื่มเข้าไป ไม่หมุนเวียน
5. ไม่ถ่ายอุจจาระเวลา 05.00-07.00 เช้า

หากถ่ายอุจจาระ หลังเวลา 7 โมงเช้า

ลำไส้จะบีบให้อุจจาระขึ้นไปข้างบนเวลาถ่าย จะถ่ายไม่หมด แต่ไม่รู้ตัว
ที่ปลายลำไส้จะมีประสาทปลายทวาร เมื่อมีอุจจาระที่เหลวพอมาจ่อปลายทวาร
ประสาทจะส่งสัญญานบอกสมองให้ปวดอึหลัง 7 โมงเช้า

ลำไส้จะทำงานไม่เป็นปกติ บีบอุจจาระให้ขาดช่วงเวลาถ่ายจนรู้สึกว่าหมดแล้ว

เราก็หยุดแต่ความจริง อุจจาระท้ายขบวนยังไม่ออกแต่มันถูกดันกลับขึ้นไป
ไม่มาจ่อปลายทวารทำให้เราไม่ปวดอึ เราก็นึกว่าหมดแล้ว
อุจจาระที่ค้างไว้นี้ก็จะเกาะที่ผนังลำไส้พอมีอุจจาระใหม่ที่เหลวกว่ามันก็แซงหน้าไปก่อน
แต่มันไม่สามารถดันพวกที่ค้างแข็งให้ออกไปได้พวกที่ค้างแข็งไว้
ก็เกาะติดแน่น

ฉะนั้น ทุกวันที่ถ่าย มันก็ถ่ายเฉพาะอึที่เหลวพอส่วนที่เหลือ

ก็เกาะไปเรื่อย ๆอุจจาระตกค้างจะไปทับเส้นเลือดต่างๆ

ในกระเพาะและ กดทับกระดูกหลัง ทำให้เกิดอาการมากมายเช่นท้องอืด

ปวดหลังปวดขา ปวดกล้ามเนื้อที่ไหล่และสะบัก เวียนหัวอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ
เป็นฝ้า ไมเกรน และอื่น ๆ


"นั่นแหละเป็นที่มา..ที่คุณหมอพรทิพย์เขียนไว้ว่าเวลาผ่าศพจะเจออุจจาระตกค้างในลำไส้อย่างน่าตกใจบางศพมีน้ำหนักอุจจาระถึง

10 กิโล"

การนำอุจจาระตกค้างออกจึงจำเป็นต้องหาว่าเป็นที่สาเหตุใดใน5 สาเหตุข้างต้น

แต่ถ้าสามารถได้รับการตรวจด้วยลูกดิ่งเพนดูลั่มก็จะรู้ได้สำหรับท่านที่ไม่สะดวกในการเดินทางมาให้ตรวจ
ก็แนะนำให้ถ่ายพยาธิเสียก่อน แล้ว ลองสูตรอาหารดังต่อไปนี้

1. เม็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ผสมน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้30 นาที ดื่มก่อนนอน

เม็ดแมงลักจะลากอุจจาระตกค้างออกมา ทานเป็นปกติได้ทุกวันหรือ
3-4วันต่อสัปดาห์ แล้วแต่จะชอบ

2. นมสด 2 กล่อง (รวมจะได้ประมาณ 500 มิลลิตร)และ กล้วยน้ำว้า 2 ลูก

ทานก่อน 6 โมงเช้า
ช่วงแรกควรทานติดกัน 3 วัน หากถ่ายก่อน7 โมงเช้าเป็นปกติได้แล้ว
ก็ลดมาเป็นสัปดาห์ละ2 ครั้ง หรือ ตามที่เห็นสมควร

3. ทานผักบุ้ง 2 กำมือ ผัด หรือ ต้ม ทำอาหารตามใจชอบผักบุ้งจะลากอุจจาระตกค้างออกมา





S. DJ - กระแสร้อน ครูอังคณา

ข่าว ครูอังคณา - เรื่องเด็นเย็นนี้

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

มื่อร่างกายส่งสัญญาณ...โรคภั


เมื่อร่างกายส่งสัญญาณ...โรคภัย


ทุก วันนี้เราต่างตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันจนไม่มีเวลาดูแล และสังเกตตัวเองกันเลย ว่า สภาพร่างกายเราเป็นอย่างไร ทั้งที่บางครั้งอาการที่แสดงออกมาเล็กน้อยแล้วเราผ่านเลยไป อาจเป็นจุดกำเนิดโรคภัยร้ายแรงได้เหมือนกัน

 คุณเช่น ถ้ามีอาการใจหวิว วิงเวียนหน้ามืด ใจสั่น เจ็บหน้าอก จุกแน่นเวลารับประทานอาหารอิ่ม หรือช่วงหลังอาหารเย็น มีอาการเหนื่อยง่าย และเจ็บแน่นบริเวณหัวใจ แสดงว่าหัวใจขอำลังมีปัญหา และควรรีบตรวจเช็กเร็วพลัน เพราะมีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

ถ้าจู่ ๆ น้ำหนักของคุณเพิ่ม หรือลดจากเดิมไปมาก หิวน้ำบ่อย กินจุ ปัสสาวะบ่อยและครั้งละมาก ๆ มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน มึนงง (เนื่องจากมีน้ำตาลและไขมันไตรกลีเซอไรด์คั่งค้างอยู่ในเลือดสูง) ให้สงสัยว่า คุณมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคเบาหวาน

ถ้าเริ่มเบื่ออาหาร และรู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นไข้ ไอมีเสมหะ หายใจลำบาก และแน่นหน้าอก บางครั้งอาจมีอาการเจ็บด้านข้างปอดร่วมด้วย คุณอาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคติดเชื้อในทรวงอก

ถ้าปวดศีรษะบ่อย ๆ และอาการปวดค่อย ๆ เพิ่มมากขึ้น แล้วเปลี่ยนเป็นปวดคงที่ทั่วทั้งศีรษะ และยิ่งปวดหนักมากขึ้นเมื่อก้มศีรษะไปข้างหน้า ร่วมกับมีไข้ อาเจียน ไวต่อแสง และคอแข็ง ควรรีบไปพบแพทย์ด่วน เพราะนี่เป็นอาการของคนที่เป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ

ถ้ามีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องร่วง และปวดท้อง อยู่ประมาณสัปดาห์แล้วมีอาการดีซ่าน ที่ทำให้ผิวหนังและตาขาวมีสีเหลือง นี่เป็นสัญญาณของโรคตับอักเสบ

...ลองหยุดพัก แล้วสังเกตตัวเองดูบ้างนะคะ ว่าตอนนี้ร่างกายกำลังส่งสัญญาณใดแก่เราบ้าง














หลักการใช้ยาปฏิชีวนะ

 
ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics ) คือ ยาฆ่าหรือชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย แต่ปัจจุบัน ยาปฏิชีวนะหลายชนิดสามารถฆ่าเชื้ออื่นๆที่ไม่ใช่แบคทีเรียได้ เช่น เชื้อราบางชนิด ดังนั้นบางท่านจึงนิยามปฏิชีวนะว่า เป็นยาฆ่าหรือชะลอการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก ซึ่งคือเชื้อโรค (Antimicrobial compound) แต่โดยทั่วไปในความหมายที่เข้าใจกัน ยาปฏิชีวนะ คือ ยาที่มีสารประกอบที่มีคุณสมบัติในการฆ่า หรือชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งในที่นี้ ขอใช้ยาปฏิชีวนะในความหมายทั่วไป คือ ยาฆ่าหรือชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ดังนั้น โรคที่เกิดจากเชื้อโรคอื่นๆที่ไม่ใช่แบคทีเรีย เช่น ไวรัส เชื้อรา และเชื้อหนอนพยาธิ จึงรักษาไม่หายด้วยยาปฏิชีวนะ





ปัจจัยต่อประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ:
แบคทีเรีย ที่ก่อโรคมีหลากหลายเป็นร้อยๆสายพันธุ์ ดังนั้นการใช้ยาปฏิชีวนะฆ่าแบคทีเรียให้มีประสิทธิภาพ จึงต้องใช้ยาปฏิชีวนะให้ตรงกับชนิดของเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนั้น ยังขึ้นกับอีกหลายปัจจัย ที่สำคัญ คือ


- ขนาดของยา (Dose)
- ระยะเวลาในการให้ยา
- และประสิทธิภาพในการดูดซึมยาเข้าสู่ร่างกาย เช่น วิธีกินยา ฉีดยา กินก่อนอาหาร หรือกินหลังอาหาร



ทำไมต้องใช้ยาปฏิชีวนะอย่างถูกต้อง?
ต้อง ใช้ยาปฏิชีวนะให้ถูกต้อง มีประสิทธิภาพ เพราะแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีการปรับตัว และพัฒนาตัวเองให้มีชีวิตรอดได้สูง และมีหลากหลายร้อยๆชนิด ดังนั้นถ้ากินยาไม่ถูกต้อง แบคทีเรียบางส่วนจะไม่ตาย ดังนั้นโรคจึงอาจไม่หาย หรือถึงแม้ดูว่า อาการดีขึ้น แต่อาจกลายเป็นโรคเรื้อรังและยังคงสามารถแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้โดยเราและ เขาไม่รู้ตัว
แบคทีเรียที่รอดตายเหล่านี้ มักพัฒนาตนเองเป็นเชื้อดื้อยา กล่าวคือ เมื่อมีการเจ็บป่วยคราวหน้าจากเชื้อดื้อยา หรือเชื้อดื้อยาแพร่สู่ผู้อื่น ยาปฏิชีวนะตัวเดิม หรือในกลุ่มยาเดิมจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียไม่ได้ ต้องใช้ยาตัวใหม่ หรือต้องใช้ยาปฏิชีวนะหลายๆตัวร่วมกัน หรือบ่อยครั้งไม่มีตัวยารักษา ผู้ป่วยจึงต้องเสียชีวิต และยังเพิ่มค่าใช้จ่ายในการตรวจรักษาให้สูงขึ้นมาก บ่อยครั้งต้องเป็นการรักษาแบบเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล และโอกาสเสียชีวิตก็มักจะสูงขึ้น เนื่องจากยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อดื้อยาไม่ได้นั่นเอง
อีกประการ ในร่างกายเรามีแบคทีเรียอยู่เป็นร้อยสายพันธุ์ย่อยเช่นกัน เรียกว่าเป็นแบคทีเรียประจำถิ่น หรือแบคทีเรียที่ดี เป็นตัวช่วยสร้างภูมิคุ้มกันต้านทานโรคให้กับร่างกายเรา แต่เมื่อเรากินยาปฏิชีวนะบ่อยๆพร่ำเพรื่อโดยไม่จำเป็น ยาจะไปฆ่าแบคทีเรียเหล่านี้ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายเสียไป และแบคทีเรียไม่ดีที่เคยถูกควบคุมสมดุลด้วยแบคทีเรียประจำถิ่นอาจรุนแรงขึ้น และโดยเฉพาะเชื้อราที่มีเป็นปกติในเยื่อเมือก และที่ผิวหนังจะแข็งแรงขึ้น จนก่อการติดเชื้อกับเราได้ เช่น เกิดภาวะช่องคลอดอักเสบ หรือท้องเสีย เป็นต้น
นอกจากนั้น ยาปฏิชีวนะทุกชนิดมีผลข้างเคียงเสมอ มากหรือน้อย ขึ้นกับชนิด ขนาดและวิธีกินยา และยังขึ้นกับความไวของแต่ละคนต่อยาด้วย ผลข้างเคียงจากยาปฏิชีวนะที่พบบ่อย คือ ท้องอืด ปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย เบื่ออาหาร และบางครั้งอาจเกิดการแพ้ยา เช่น การขึ้นผื่นคัน หรือถ้ารุนแรง (มักเกิดกับยาฉีด) คืออาการช็อก อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้



ควรใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไร?
การใช้ยาปฏิชีวนะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประหยัดค่าใช้จ่าย และป้องกันเชื้อดื้อยา คือ
ไม่ซื้อยาปฏิชีวนะกินเอง ควรเป็นการแนะนำจากแพทย์เท่านั้น เพราะเป็นผู้ตรวจรักษาเรา จึงสามารถสั่งการใช้ยาปฏิชีวนะได้อย่างถูกต้อง


มีความรู้ว่า ยาปฏิชีวนะรักษาได้เฉพาะการติดเชื้อแบคทีเรีย ไม่สามารถรักษาการติดเชื้อไวรัสได้ ดังนั้น โรคจากติดเชื้อไวรัสที่พบบ่อย คือ โรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ หลอดลมอักเสบ จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ยกเว้นเมื่อมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน รู้ได้ คือ อาการจะรุนแรงมากขึ้นหลังการดูแลตนเองด้วย การพักผ่อน ดื่มน้ำมากๆ และกินยาลดไข้ภายใน 3-4 วันในคนที่สุขภาพแข็งแรง แต่ภายใน 1-2 วัน ในคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ หรือที่เรียกว่า กลุ่มเสี่ยง (เด็กเล็ก คนท้อง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยได้ยาเคมีบำบัด) ดังนั้นในระยะเวลาดังกล่าว ภายหลังจากการดูแลตนเองในเบื้องต้น เมื่ออาการต่างๆเลวลง จึงควรพบแพทย์ให้แพทย์เป็นผู้รักษา และสั่งยา


เมื่อแพทย์สั่งยาปฏิชีวนะ


◦ควรรู้จักชื่อยา (ชื่อยาเขียนอยู่บนซองยา)


◦กินยาให้ครบถ้วน ถูกต้องตามฉลากยา กินยาให้หมดตามแพทย์สั่ง ไม่หยุดยาเองเมื่ออาการดีขึ้น


◦ควรแจ้งแพทย์ถึงยาตัวอื่นๆที่กำลังกินอยู่ เพื่อป้องกันตัวยาต่างๆที่อาจเสริม หรือ ต้านฤทธิ์กันได้


◦ควรสอบถามแพทย์ถึงข้อควรระวังในเรื่อง อาหาร เครื่องดื่มกับยาปฏิชีวนะ เพราะอาจลดการดูดซึมยาปฏิชีวนะได้


◦ควรสอบถามแพทย์ถึงผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ


◦เมื่อกินยาปฏิชีวนะครบแล้ว อาการยังอยู่ ต้องกลับไปพบแพทย์


◦ระหว่างกินยาถ้าอาการเลวลง หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆแทรกซ้อน ต้องกลับไปพบแพทย์ หรือพบแพทย์ก่อนนัดเช่นกัน


ไม่กินยาปฏิชีวนะของผู้อื่น หรือที่มีเหลือเก็บไว้ เพราะมักเป็นเชื้อแบคทีเรียคนละชนิดกัน


การดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ลดโอกาสติดเชื้อ ก็เป็นการป้องกันการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้โดย


◦รักษา สุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) ดูคลิก


◦ล้างมือบ่อยๆ โดยเฉพาะก่อนกินอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ


◦ออกกำลังกายสม่ำเสมอ


◦กิน อาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในแต่ละวัน ในปริมาณที่เหมาะสมไม่ให้เกิดโรคอ้วน จำกัดไขมัน แป้ง น้ำตาล เค็ม และเพิ่มผัก ผลไม้


◦รู้จักใช้หน้ากากอนามัย และ


◦รู้จักการฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะตั้งแต่แรกเกิด และตามกระทรวงสาธารณสุขแนะนำ 





สุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ
1.ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
2.รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง
3.ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย
4.กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตรายและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด
5.งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนันและการสำส่อนทางเพศ
6.สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
7.ป้องกันอุบัติเหตุด้วยการไม่ประมาท
8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี
9.ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ

10.มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสังคม