วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

กำราบพุงแบบไฮเทค


   


เรื่อง นพ.ประยูร เจนตระกูลโรจน์

รสนิยม การไว้พุงของผู้ชาย ทั้งหน้าท้อง ห่วงยางหรือหลังเอว อันเป็นสัญลักษณ์ของพวกป๋า ๆ และอาเสี่ยในอดีตนั้นหมดสมัยไปแล้วครับคุณผู้อ่าน เพราะนอกจากจะมีผลต่อการใช้ชีวิตและนำมาซึ่งโรคภัยต่าง ๆ แล้วยังเป็นการบ่งบอกว่าคุณไม่ใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ

บาง คนปล่อยให้ไขมันสะสมเรื่อย ๆ จากพุงนิ่ม ๆ หย่อนคล้อยเป็นผิวเปลือกส้มหรือหนังไก่ กลายเป็นพุงโตกลมแข็งดูเหมือนซูโม่ นอกจากต้องออกกำลังกายควบคู่กับการคุมอาหารแล้ว อาจต้องเสริมด้วยการกำจัดไขมันโดยวิธีของแพทย์ เราจึงขอนำเสนอวิธีการกำจัดไขมันแบบที่เรียกว่า Non-invasiva หรือไม่ต้องใช้เครื่องมือสอดหรือล่วงล้ำเข้าสู่ร่างกาย ไม่ทำให้เจ็บตัว และได้มีวิวัฒนาการเรื่อยมาดังนี้

Massages

วิธี การนวดของผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จะช่วยเพิ่มระดับการไหลเวียนของเลือด และยังช่วยให้เซลล์ไขมันแตกตัว โดยต้องนวดแบบใช้แรงหรือลงน้ำหนักมาก ๆ ผิวหนัง กล้ามเนื้อและไขมันที่เชื่อมติดกันจะยืดหยุ่น และช่วยให้ออกซิเจนเข้าไปได้ ออกซิเจนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการเผาผลาญไขมัน ยิ่งร่างกายได้รับมาก จะยิ่งช่วยให้เกิดการเผาผลาญมากขึ้นการนวดอย่างเดียวนั้นจะไม่ทำให้ไขมัน สลายไปได้ แต่ต้องออกกำลังกายหรือทำงานที่ใช้แรงควบคู่ไปด้วยการนวดจึงเป็นการเตรียม ไขมันไว้สำหรับการกำจัดออกภายหลังโดยระบบการกำจัดของเสียของร่างกาย

Vacuum

เป็น ระบบนวดสุญญากาศผสานระหว่างศาสตร์การแพทย์ตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน ช่วยสลายไขมัน ลดผิวเปลือกส้ม รอยแตกลาย และกระชับผิว เพราะระบบนวดสุญญากาศทำให้เพิ่มการไหลเวียนโลหิตและน้ำเหลืองได้เป็นอย่างดี

Infrared Ray

เป็น การใช้เครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกล ทำให้ร่างกายสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการย่อยสลายที่ดีขึ้นของต่อมเหงื่อ เมื่อร่างกายขับเหงื่อได้มากขึ้นทำให้มีการขับเกลือโลหะหนักและไขมันออกมา มากขึ้นเช่นกัน

Diode Laser

ใช้ สารตัวกลางเลเซอร์เป็นสารกึ่งตัวนำส่งผ่านพลังงานและความร้อนไปยังเซลล์ ไขมันใต้ผิวหนัง ทำให้เซลล์ไขมันถูกทำลายหรืออ่อนแอลงละลายอยู่ภายในพื้นที่ว่างระหว่างเนื้อ บริเวณนั้น และถูกขับออกมาโดยกระบวนการขับถ่ายตามธรรมชาติของร่างกาย

Mesotherapy

เป็น วิธีการใช้เข็มขนาดเล็ก และเจาะตื้นเพียงไม่กี่มิลลิเมตร โดยการส่งตัวยา และแร่ธาตุที่ใช้ในการเผาผลาญไขมันในปริมาณเข้มข้นเข้าไปในชั้นใต้ผิวหนัง เพื่อให้ไขมันแตกตัว ไม่นับว่าเป็นการกำจัดไขมันแบบ Invasive เหมือนกับ Carboxytherapy เหมาะกับผู้ที่ไม่ได้อ้วนเกินไป หรือมีไขมันแค่เฉพาะส่วนเท่านั้น ทั้งนี้การรับรองมาตรฐานหรือความปลอดภัยยังไม่ชัดเจน

Radiofrequency

เครื่อง มือที่ใช้เทคโนโลยีนี้ จะมีการปล่อยคลื่นไฟฟ้าอ่อนในรูปของคลื่นความถี่วิทยุออกมา พลังงานจากการแสไฟฟ้าในช่วงคลื่นความถี่ต่ำนี้สามารถผ่านทะลุผิวชั้นบนเพื่อ ไปเพิ่มอุณหภูมิของผิวหนังชั้นใน กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนรูปของพลังงานจากภายใน ทำให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้น 3-5 องศาเซลเซียส หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบโลหิตและระบบน้ำเหลืองบริเวณนั้น ๆ ไหลเวียนดีขึ้น เซลล์ไขมนแตกตัวออกจากกัน และถูกขับออกจากร่างกายด้วยระบบน้ำเหลือง ซึ่งจะได้ผิวหนังที่กระชับขึ้นด้วย โดยทั่วไปการกำจัดไขมันด้วย เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุนั้นจะใช้ควบคู่กับเทคโนโลยีอื่นด้วย เช่น Intrared, Diode Laser, Intense Pulsed Light และ Ultrasound เป็นต้น

Ultrasound

เป็น เทคโนโลยีล่าสุดของการสลายไขมันแบบ Non-invasive โดยการส่งคลื่นเสียงความถี่ต่ำแบบเฉพาะเจาะจงไปยังเซลล์ไขมัน ทำให้เยื่อบุเซลล์หลุดออกจากกัน และกระตุ้นให้เกิดการแตกตัวของเซลล์ไขมันให้กระจายเป็นอนุภาคย่อยในที่สุด โดยเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง เช่น เส้นเลือด ผิวหนัง และเส้นประสาท ไม่ได้รับความกระทบกระเทือน และอยู่ในรูปของสารที่สามารถละลายได้โดยง่ายในน้ำ ร่างกายจึงขับไขมันเหล่านี้ออกจากร่างกายโดยระบบการขับถ่าย และได้ผิวที่ตึงกระชับขึ้นไม่มีปัญหาผิวเป็นโพรงหลังทำทรีตเมนต์

ใน ปัจจุบันเป็นยอมรับกันว่า การสลายไขมันด้วยเทคโนโลยี Rediotrequency ผสานกับเทคโนโลยี Ultrasound มีความก้าวหน้า ปลอดภัย ไม่ต้องเสียเวลาในการพักฟื้นและได้ผลดีที่สุด แต่อย่าลืมควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอด้วยนะครับ หากคุณละเลยในจุดนี้ ไม่ว่าวิธีการกำจัดไขมันจะไฮเทคขนาดไหนก็คงเอาไม่อยู่หรอกครับ
Two-second Tip สร้างชิกแพ็คง่าย ๆ ได้ใน 3 วิธี

1. เอาไขมันออกจากร่างกาย โดยเน้นการควบคุมและจำกัดแคลอรีจากอาหารที่คุณได้รับในแต่ละวันให้อยู่ในสัดส่วนที่สมดุลกับพลังงานที่ใช้ไป

2. มีวินัยในการออกกำลังกายแบบคาร์ติโอหรือแบบที่ต้องการความต่อเนื่อง เช่น วิ่งบนลู่วิ่ง ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ ต่อเนื่อง อย่างน้อยประมาณครึ่งชั่วโมง

3. สร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องด้วยท่าฝึก เช่น การซิทอัพ โดยแต่ละคนจะใช้เวลาในการสร้างกล้ามเนื้อที่ไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับไขมันที่สะสมในร่างกาย ระบบการเผาผลาญ อายุ โครงสร้างของกล้ามเนื้อและวินัยในการออกกำลังกาย
ขอขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก Men's Health

   






 







6 อาการผิดปกติธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

6 อาการผิดปกติธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา


อายุร แพทย์จากโรงพยาบาลชั้นนำในสหรัฐฯ ต่างก็ยกให้ 6 อาการผิดปกติเหล่านี้อันตรายต่อสุขภาพ และไม่ควรเพิกเฉย เพราะจากแค่อาการผิดปกติเล็กน้อยที่ดูเหมือนไม่จำเป็นต้องไปพบแพทย์ แต่ถ้ามีอาการหนักขึ้นและเป็นเรื้อรังนานกว่าปกติ อาจหมายถึงการมาเยือนของโรคร้ายก็ได้ 1. แค่นอนไม่หลับ อาจกลายเป็น โรคหัวใจ        เป็นอาการผิดปกติอันดับหนึ่งที่ควรบอกแพทย์ เพราะการนอนไม่หลับเพียงแค่ 1 คืนก็มีผลต่อหัวใจได้ ตั้งแต่การที่เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ จนถึงขั้นอาการหัวใจขาดเลือด หากมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยครั้งควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจเสี่ยงเป็นโรคหัวใจได้ในที่สุด

2. แค่ท้องผูก อาจกลายเป็น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่        อาการท้องผูก คือ การถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เนื่องจากปัจจัยบางอย่างขัดขวางการทำงานของลำไส้ ทำให้กากอาหารผ่านลำไส้ใหญ่ได้ช้าลง ซึ่งถ้ามีอาการท้องผูกเรื้อรัง (นานกว่า 3 สัปดาห์) ควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะอาจเสี่ยงเป็นโรคคริดสีดวงทวารหนัก และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

3. แค่ปวดหัว อาจกลายเป็น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ        ถ้ามีอาการปวดหัวที่ร่วมด้วยมีไข้ ปวดเมื่อยคอ คลื่นไส้อาเจียนติดต่อกันเป็นเวลานาน (2-3 วัน) ให้สันนิษฐานไว้ว่าไม่ได้เป็นแค่อาการปวดหัวธรรมดาแน่นอน โดยเฉพาะอาการปวดหัวที่เพิ่มมากขึ้น แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด มีปัญหาเรื่องการมอง และมีอาการปวดต่อเนื่องนานกว่า 2-4 ชั่วโมงควรไปปรึกษาแพทย์ เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติของสมองที่ติดเชื้อที่ระบบประสาท ส่วนกลาง ซึ่งเสี่ยงเป็นโรคหุ้มสมองอักเสบได้ในเวลาต่อมา

4. แค่ปวดฟัน อาจกลายเป็น ตาบอด
        หากหลังจากไปถอนฟันแล้วคุณยังมีอาการปวดฟันอยู่ และมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น ปวดกราม ปวดหน้านานเกินกว่า 7 วันควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าเส้นประสาทบริเวณใบหน้ากดทับกันอยู่ และถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอาจรุนแรงจนถึงข้นตาบอดได้

5. แค่ท้องเสีย อาจกลายเป็น ลำไส้อักเสบ         อาการท้องเสียติดต่อกันนานหลายวัน เป็นสัญญาณเตือนให้ระวังไว้ว่าร่างกายของคุณไม่ปกติอีกต่อไป อาจเป็นไปได้ว่าลำไส้ติดเชื้อปรสิต เป็นโรคโครนส์ (Crohn’s Disease) หรือลำไส้อุดตันบางส่วน มะเร็ง ตับอ่อนมีปัญหา ถุงน้ำดีมีปัญหา ดังนั้นเมื่อท้องเสียติดต่อกันนานเกิน 3 วันควรไปปรึกษาแพทย์ หลีกเลี่ยงการกินยาฆ่าเชื้อ เพราะส่วนประกอบบางชนิดในยาอาจฆ่าแบคทีเรียที่มีประโยชน์กับลำไส้ใหญ่ไปด้วย ซึ่งจะทำให้อาการแย่ลงกว่าเดิม

6. แค่กรดไหลย้อน อาจกลายเป็น มะเร็งหลอดอาหาร
        กรดไหลย้อนอาจมีสาเหตุมาจากอาการแสบร้อนกลางอก ฟันผุ และโรคหวัด ซึ่งสาเหตุเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อช่องท้องทุกครั้งที่มีการหายใจเข้าสู่ปอด และส่งผลให้เชื้อโรคกระจายติดไปทั่ว เนื่องจากการไหลย้อนของกรด ถ้ากระเพาะมีกรดมากอาจไหลล้นขึ้นมาถึงบริเวณหลอดอาหาร ทำให้มีผลต่อกล่องเสียง ลำคอ และปอดได้ หากมีอาการเรื้อรัง แต่ละเลยไม่ไปพบแพทย์อาจนำไปสู่โรคมะเร็งหลอดอาหารได้



ที่มา ... สุขกายสบายใจ