วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การ “แสวงหาผู้นำ”

หลักการเริ่มต้นในการ “แสวงหาผู้นำ”

และ “การสร้างผู้นำ” ในธุรกิจเครือข่าย
- เก่งคนเดียวไม่ได้ ต้องมีทีมงาน หรือดาวไลน์เก่งด้วย
- คนเก่งที่มีความสามารถเฉพาะตัวสูง ช่วงเริ่มแรกจะโตเร็วมาก แต่หลังจากนั้นจะชะลอ
- เราต้องแสวงหาผู้ที่มีแววว่าจะเป็นผู้นำ และพัฒนาสร้างผู้นำคนนั้นขึ้นมา
- เราสปอนเซอร์ทุกคน ไม่เลือกว่าเก่งหรือไม่เก่ง แต่เราจะไม่สร้างทุกคนให้เป็นผู้นำ
- เราต้องคัดเลือกและแสวงหา เพื่อมาพัฒนาความรู้ ทักษะ ความสามารถ

วิธีคัดเลือก
- คนที่ยอมเรียนรู้ ไม่มีข้อแม้ในการทำธุรกิจ
- กระตือรือร้นทำธุรกิจ

วิธีค้นหา
- สปอนเซอร์อย่างสม่ำเสมอ ทั้งติดตัว และสายลึก
- ถ้ามุ่งมั่น และไม่ลดละความพยายาม ไม่ช้าหรือเร็ว ก็จะค้นพบ
เมื่อค้นพบผู้นำ ขั้นต่อไป

- การติดตามพัฒนาสร้างผู้นำ
- หลายคนกระตือรือร้น แต่ 3 – 4 เดือน ก็เลิกจากธุรกิจไป

สาเหตุคือ
- เราค้นพบผู้นำ แต่สร้างไม่เป็นต่างหาก
- ผู้นำในธุรกิจ ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นจาก การติดตาม พัฒนา สร้างเขาขึ้นมาเป็นผู้นำ ต้องใช้เวลา เดือน ถึง 1 ปี แต่ผลตอบ แทนมันคุ้ม เป็นรายได้เกินกว่า 6 หลักในอนาคต 1 ถึง 2 ปี

ผู้นำต้องทำได้ 10 ข้อ

1. รู้และเข้าใจเรื่องราวความเป็นมาของบริษัท

2. เข้าใจและสามารถอธิบายแผนการตลาดได้

3. ใช้สินค้าอธิบายแนะนำคุณประโยชน์ของสินค้าได้

4. ตอบข้อโต้แย้งหรือแก้ไขข้อโต้แย้งที่พบบ่อยๆได้

5. อธิบายข้อดีของธุรกิจ MLM ให้คนเข้าใจได้

6. เข้าใจระบบงาน การเช็คยอด ตรวจสอบเป็น

7. วิเคราะห์ผลการทำงานประจำเดือนเป็น ว่าดีขึ้นหรือตกต่ำ และกำหนดวิธีการทำงานในอนาคตได้

8. เป็นวิทยากร แนะนำธุรกิจและฝึกอบรมความรู้ได้

9. จัดการประชุม ทีมงานเป็น

10. มีวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำองค์กร

- ประเมินทุกๆ เดือนว่าทีมงานมีการพัฒนาเป็นอย่างไรบ้าง โดยให้คะแนนแต่ละข้อ ถ้าคะแนนไม่ถึง 25 มีโอกาสล้มเหลว มนุษย์ทุกคนไม่มีใคร สมบูรณ์แบบมาก่อน แต่สามารถพัฒนาได้ หน้าที่ของเราที่ต้องพัฒนาเขาให้มีความรู้ ความสามารถ จนเขาประสบความสำเร็จ

- ถ้าเราไม่สามารถ สอนหรือพัฒนาเขาได้ ให้นำมาที่ประชุม ที่มีแม่ทีมระดับสูงจัดขึ้น เมื่อเขามีโอกาสได้เรียนรู้สม่ำเสมอ เขาสามารถที่จะเป็นผู้นำ และประสบผลสำเร็จได้

แบ่งเวลาทำงานอย่างไร ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

ธุรกิจ MLM ไม่มีเพดานของรายได้

ปัจจัยที่ทำให้คนส่วนใหญ่ล้มเหลวจากธรกิจ MLM คือ

- ลงมือทำน้อยเกินไป

งานประจำ ราชการ รัฐวิสาหกิจ ทำประมาณ 23 วันต่อเดือน

ค้าขาย หรือทำธุรกิจส่วนตัวอาจจะทำตลอดทั้งเดือนไม่มีวันหยุดเลย

แล้วทำธุรกิจ MLM ควรจะทำเดือนละกี่วันดี

บางคนบอกว่าได้โบนัส 500 บาทเอง เดือนที่ผ่านมาท่านทำกี่วัน กี่ชั่วโมง

บางคนบ่น สมัครมา 1 ปี ได้โบนัส เดือนละ 1,000 เอง ที่ผ่านมาเดือนหนึ่งทำงานกี่วัน เดือนหนึ่งต้องทำอย่างน้อย 15 วัน ตั้งใจทำงาน โดย

แนะนำบริษัท สินค้า แผน เชิญชวนคนเข้าร่วมธุรกิจ เป็นพี่เลี้ยง แนะนำวิธีการทำงานให้ดาวไลน์

เข้าประชุม ฝึกอบรมความรู้ ความสามารถ ไม่ขาดการประชุม ทำงานอย่างน้อย 15 วันต่อเดือน เพื่อแลกกับความหวังของชีวิต

"เมื่อตัดสินใจทำ ต้องทำให้ได้และให้ดี "

ทำ MLM ต้องคิดให้เป็นถึงสำเร็จ

เราต้องการสิ่งเหล่านี้ในอนาคตหรือไม่

- รายได้เดือนละ แสนต่อเดือน

- บ้านหลังใหญ่

- รถคันหรู

- เงินเก็บมากมาย

มนุษย์เก่งเพราะเขาได้พบ ได้เห็น ได้เรียนรู้ ได้ปฏิบัติ

- ถ้า 5 ปีประสบผลสำเร็จ มันคุ้มค่าหรือเปล่า 5 ปี เพื่อแลกกับชีวิตที่มีคุณภาพ

- เป็นการลงทุนกับเวลาที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับเวลาที่เหลืออยู่อีกหลายสิบปี

“เพื่อแลกกับบางอย่างที่สำคัญต่อชีวิต”

- คุณต้องเรียนรู้ อ่านหนังสือ

คุณจะประสบความสำเร็จเร็วขึ้นเพราะการจัดประชุมแนะนำธุรกิจ

ความสำเร็จเกิดจากการสร้างองค์กร
- ให้มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับ บริษัท สินค้า และแผนการตลาด
- ถ่ายทอดในสิ่งที่รู้ได้
- แนวทางในการพัฒนาทีมงาน

- วีซีดี

- หนังสือ

- ประชุม

- RES

ความสำเร็จในธุรกิจที่โตและได้ผลที่สุดคือ การจัดประชุม
- การจัดประชุม เพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจ
- การจัดประชุม แนะนำผลิตภัณฑ์
- การจัดประชุม เพื่อแนะนำวิธีการทำงาน และเทคนิค เพื่อพัฒนาทีมงาน
- การจัดประชุม เพื่อเน้นกิจกรรมกลุ่ม เพื่อสร้างสายสัมพันธ์
- การจัดประชุม เพื่อกระตุ้นพลัง ยกย่องผู้ประสบความสำเร็จ จุดไฟการทำงาน
การจัดประชุมกลุ่มย่อยไม่กี่คน
- ที่บ้าน
- สำนักงาน
- ศูนย์
- โรงแรม

คนที่ประสบความสำเร็จมีคุณสมบัติที่เหมือนกันอยู่ข้อหนึ่งคือ
- สามารถจัดกลุ่มประชุมเองได้ ทำสม่ำเสมอ บางท่านเป็นวิทยากรเองได้ บางท่านเชิญแม่ทีม

สรุปถ้าท่านอยากเติบโตเร็วท่านต้องเริ่มจัดประชุมกลุ่มองค์กรของท่าน หากจัดถี่ องค์กรยิ่งเติบโตเร็ว มิใช่ทยอย สร้างทีละคน คนที่เขาประสบความสำเร็จ อดีตเขาก็จัดประชุมไม่เป็น เป็นวิทยากรไม่เป็นแต่เขารู้จักเริ่มรวมกลุ่มจัดประชุม และพัฒนาเรียนรู้

เริ่มจัดประชุม
- ที่บ้าน
- ที่ทำงาน
- ศูนย์
- นัดแม่ทีมที่บรรยายเป็น
- เราเป็นลูกมือ และฝึกหัด เราต้องเป็นภายใน 2 – 3 เดือน
- ใหม่ๆยืมจมูกคนอื่น แต่เราไม่สามารถยืมได้ตลอดไป

ความสำเร็จในการจัดประชุมขึ้นอยู่กับ ความพร้อมในการจัดประชุม

การจัดประชุม
- สถานที่ต้องสะดวก ง่าย บรรยากาศดี ไม่มีสิ่งรบกวน
- มีเพลง ภาพโฆษณาสินค้า ภาพผู้ประสบผลสำเร็จ
- มีรางวัลจูงใจให้มาประชุม
- แสดงออกถึงความกระตือรือร้น ทั้งท่าทาง และคำพูด
- ไม่มีการตำหนิปมด้อยของผู้เข้าร่วมประชุม
- เตรียมใบสมัคร สินค้าตัวอย่าง และสำรองสินค้าไว้จำหน่ายได้ทันที
- วางแผนกำหนดวันประชุมครั้งต่อไป
- เตรียมสินค้าให้ผู้ร่วมประชุมทดลองทานด้วย

จัดไม่เป็นก็ต้องหัดจัด

“ถ้าคุณมุ่งมั่น ความสำเร็จรอคุณอยู่”

เรียนรู้เทคนิค...การเป็นวิทยากรในธุรกิจMLM

- เรารู้ว่าอีก 2 – 5 ปี เราประสบความสำเร็จได้
- เราจะอาศัยที่ประชุมอย่างเดียวไม่ได้ เพราะ 1 อาทิตย์มี 1 ครั้ง
- จุดไหนที่ไม่มีวิทยากรบรรยาย จุดนั้นก็จะหดตัว
- มีคนใหม่เข้ามา คนเก่าเลิกไป เราต้องสร้างวิทยากร
- ใครๆก็เป็นวิทยากรได้ ขอให้มีความกล้า และเรียนรู้ในสิ่งที่จะพูด

หน้าที่ของวิทยากรคือ
- เป็นผู้ทำให้เกิดความรู้
- เป็นผู้บรรยาย
- เป็นผู้สอน
- เป็นผู้ฝึก
- เป็นพี่เลี้ยง

การเป็นวิทยากรที่ดี
-เป็นคนช่างสังเกต พฤติกรรมทางกาย วาจา จากวิทยากรที่ท่านชอบ และลอกเลียนแบบ
- อ่านหนังสือ ฝึกถ่ายทอด

ผู้นำกับวิธีการขยายองค์กรให้เติบโต

ผู้นำกับวิธีการขยายองค์กรให้เติบโต
นโปเลียน ฮิลล์ กล่าวถึงกฎข้อหนึ่งในหลักการอันสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จคือ พยายามสร้างนิสัยในการทำดีกว่ามาตรฐานที่เคยทำอยู่ในฐานะที่ท่านก้าวสู่ผู้นำจากการทำธุรกิจอิสระ ท่านจำเป็นที่จะต้องหมั่นดูแลองค์กรของตน และจัดทำบัญชีรายชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อเล่นเพื่อพร้อมสำหรับการติดต่อ พูดคุยในเรื่องธุรกิจ MLM หรือระบบเครือข่าย ท่านจะได้ทราบว่า

ดาวไลน์ใหม่หรือหรือเก่า เขามีพื้นฐานความรู้ในระบบ MLM อยู่มากน้อยแค่ไหน เพื่อให้เขาได้รู้แจ่มแจ้งใน สินค้า แผนการตลาดการที่ดาวไลน์มีข้อมูลจากท่าน ความเชื่อมั่นก็จะบังเกิดทั้งผลงานด้านกำลังคนและยอดขายก็จะตามมา ต่อไปนี้เป็นวิธีที่จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนดาวไลน์ให้ได้ผลและประสบความสำเร็จอย่างมั่นคง ซึ่งผู้เขียนได้มาจากหนังสือกลยุทธ์การทำธุรกิจ MLM ให้สำเร็จโดยชมรมพัฒนาธุรกิจเครือข่ายขายตรง เพื่อความมั่งคั่ง มั่งมี ของท่านและทีมงานทั้งใหม่และเก่าดังนี้

วิธีชาวยสนับสนุนดาวไลน์ให้ได้ผลและประสบความสำเร็จอย่างมั่งคั่ง
ก. การร่วมงานกับดาวไลน์ใหม่
- เน้นใช้สินค้าทุกชนิด
- สาธิตสินค้าเพื่อเน้นให้เขาใช้และมีความเชื่อมั่นในสินค้า
- ชวนเข้างานที่บริษัทจัดขึ้น
- ย้ำแผนการตลาด
- เน้นให้เห็นภาพขนาดใหญ่ของบริษัท
- ช่วยให้เขามีดาวไลน์
- ช่วยประชุมที่บ้านและฝึกให้เขาทำเอง
- สอน / แนะนำวิธีพูด, สาธิตสินค้า, การเตรียมอุปกรณ์สาธิต
- ฝึกฝนวิธีพูดแผนการตลาด
- จัดเตรียมเอกสารที่เหมาะสมให้ศึกษา
- แนะนำวิธีการตอบข้อสงสัยที่มักพบบ่อยๆ
- แนะนำวิธีพูดถึงความสวยงามของธุรกิจ MLM

ข. การร่วมงานกับดาวไลน์ที่เริ่มมีผลงาน
- ให้ความรัก ความเป็นกันเอง จำชื่อเขาให้ได้
- ชื่นชมผลงานของเขา สร้างสายสัมพันธ์ที่ดี
- แนะนำสินค้าตัวใหม่ที่มีเพิ่มขึ้น
- เคลียร์แผนการตลาดให้ชัดเจน ความยุติธรรม
- การฝึกพูดขึ้นเวที ความเคยชิน
- การให้กำลังใจ คุณทำได้
- แนะแนวทางในการสร้างธุรกิจที่ถูกต้องเพื่อนำไปถ่ายทอด
- ส่งเข้าอบรมตามที่บริษัทจัด
- พาเข้าสัมมนานอกสถานที่ รับฟังประสบการณ์จากต่างกลุ่ม
- จัดประชุมที่บ้าน ให้มีส่วนร่วม ฝึกการถ่ายทอด
- จัดอบรมสินค้าเพิ่มเติม
- เน้นหลักการปะชุม ให้มั่นใจว่าดีและถูกต้อง
- ทำให้เขาดู - ดูเขาทำ - ให้ทำเอง
- ให้หาหนังสือการพัฒนาตนเองอ่านเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ

ค. การร่วมงานกับการทำงานตามธรรมชาติ
- ให้เรียนรู้ขั้นตอนการทำงานตามธรรมชาติ
ขั้นที่ 1 การสร้าง
ขั้นที่ 2 การวางแผนให้ดาวไลน์ทำเอง
ขั้นที่ 3 การปกป้องตนเอง เมื่อธุรกิจตกต่ำ
- เป็นการทำงานพื้นฐานเหมือนเดิม
- ถ่ายทอดและฝึกการทำงานแบบมืออาชีพ
- ถ่ายทอดบุคลิกภาพ การเป็นผู้นำที่ดี
- มอบหมายความไว้วางใจและภาระตามอัตภาพ
- หาเอกสาร, หนังสือที่เหมาะสมกับผู้นำและแรงบันดาลใจ
- แนะนำเทคนิคและวิธีช่วยเหลือดาวไลน์
- พาเข้าฝึกอบรมกับบริษัทให้มากที่สุด

ง การร่วมงานกับสายงานที่มีตำแหน่งในบริษัท
- ดึงเข้าร่วมงานและมีส่วนร่วมในหน้าที่ต่างๆ หมุนเวียนไป
- ช่วยถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ให้ดาวไลน์ในทีมงานและองค์กร
- ฝึกการทำงานเป็นทีม สร้างสายสัมพันธ์ในองค์กร
- ให้คำปรึกษากับดาวไลน์ในสายงานล่างๆ ลงไป
- ให้ความรัก ความอบอุ่น การช่วยเหลืออย่างสม่ำเสมอ
- ติดต่อสื่อสารรอย่าให้ขาดหายจนเกินไป
- สร้างความสำเร็จให้เห็นเพิ่มเติม
- การเป็นแบบอย่างที่ดี
- เน้นให้มีการเรียนรู้ศึกษาพัฒนาทักษะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
- แนะนำวิธีการบริหารการเงิน
- แนะนำวิธีวิเคราะห์องค์กร การช่วยเหลือดาวไลน์

ฝึกวิธีถ่ายทอด - การแนะนำและสาธิตสินค้า
- การพูด, แผนการตลาด
- ความสวยงามของธุรกิจ MLM
- การตอบข้อโต้แย้งต่างๆ
- ให้ความสำคัญต่อข้อมูลข่าวสาร ในทุกระดับความสำเร็จ
- แนะนำบทบาทและหน้าที่ในฐานะผู้นำในองค์กร
- เข้าฝึกอบรมทุกๆ รูปแบบและระดับขั้นแห่งความสำเร็จ
- เน้นความซื่อสัตย์ และความมีคุณธรรมต่อองค์กร

จ. การทำงานเพื่อเป้าหมายระดับสูงในบริษัท
- ทำงานพื้นฐานตลอดเวลา สม่ำเสมอและเป็นตัวอย่างที่ดี
- จัดฝึกอบรมให้เหมาะสมให้ทีมงานและดาวไลน์ต่างๆ
- อย่าไว้ใจยอดจำหน่ายของแต่ละคน
- แบ่งเวลาให้ถูกต้อง การพักผ่อน ความอบอุ่นในครอบครัว
- ตั้งเป้าหมายไว้ให้สูงและไม่เสียเวลากับอุปสรรคภายใน
- ช่วยคนดีให้สำเร็จ ทำงานอย่างมีความสุขสนุก
- ให้ข้อมูลเป็นระยะสม่ำเสมอ
- เน้นการทำงานแนวรุก
- ฝึกฝนทีมงานให้มีหัวใจบริการ
- ปรับตัวเองให้เป็นผู้สนับสนุน อำนวยความสะดวก
- ใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยข้อมูลข่าวสารรวดเร็ว
- เป็นการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้
- เน้นความสำคัญของลูกค้า
- ยึดมั่นในกฎและจรรยาบรรณของบริษัท

ฉ. คุณสมบัติผู้ที่จะมีระดับสูงสุดของบริษัท
- พร้อมที่จะพัฒนาบุคลิกภาพ ยอมแลกเพื่อความสำเร็จ
- อย่าหยุดการเรียนรู้
- มุ่งมั่น มั่นคง เยือกเย็น ไม่ย่อท้อ จิตใจเข้มแข็ง
- ข้อมูลข่าวสารไว ส่งผ่านองค์กร
- ในจิตใจไม่มุ่งหวังพึ่งผู้อื่น ไม่มีข้อแม้
- ไม่หวั่นไหวกับสภาพแวดล้อม
- ทำให้เขาดูมาก ๆ ไม่ใช่พูดให้เขาทำ
- ฉลาดที่จะเลือกทำงานกับคน เป็นผู้นำทางความคิด
- มีความเชื่อมั่นในตนเอง แน่วแน่ในเป้าหมาย
- จัดประชุมในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อพัฒนาองค์กร
- จัดฝึกอบรม สาธิตผลิตภัณฑ์
- สามารถให้กำลังใจตนเองและผู้อื่นอย่างต่อเนื่อง
- มีความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อทีมงานอย่างจริงใจ
- วางตนให้เหมาะสมกับตำแหน่ง เสมอต้นเสมอปลาย
- เป็นนักธุรกิจที่ดี มีคุณธรรม ซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา
- เป็นตัวอย่างที่ดี มีน้ำใจ ไม่ผิดจรรยาบรรณ
- เปิดใจกว้าง รับฟังคำชี้แนะ/ข้อเสนอแนะจากผู้อื่น

เมื่อท่านได้ทำงานกับดาวไลน์ทั้งใหม่และเก่า ช่วยให้ดาวไลน์มีผลงานมากขึ้น ทำงาน เช่นกันกับสายงานที่มีตำแหน่งในบริษัท การทำงานเพื่อเป้าหมายระดับสูงในบริษัทคือการได้รับตำแหน่งอันทรงเกียรติ ย่อมทำให้ได้รับผลตอบแทนคือได้ขยายเครือข่ายองค์กรของท่านให้เติบโตต่อไป ทั้งกว้างและลึกลงไปไม่สิ้นสุด
อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 6 ฉบับที่ 138 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2551

วิธีสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง 8 ข้อ

วิธีสร้างความมั่นใจให้ตัวเอง 8 ข้อ
1. ไม่มีคำว่าต่ำต้อย และอย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด
โปรดจำไว้ให้แม่นว่า แม้คุณจะไม่ได้ดิบดีวิเศษวิโสเท่าคนอื่นๆ แต่คุณก็มีอะไรดีๆ มากมายอยู่ในตัวเอง เพียงแต่รอเวลาที่จะเผยโฉมหน้าของมัน ให้ใครต่อใครชื่นชม อย่าดูถูกตัวเองเด็ดขาด เพราะจะเป็นการบั่นทอนความเชื่อมั่นอย่างร้ายแรงที่สุด แม้ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์คุณในทางร้ายอย่างไรก็จงเฉยเสีย อย่าไปตอบโต้ เพราะไม่มีใครหรอกที่อยากเห็นคนอื่นดีกว่าตัวเอง
2. กล้าที่จะเสี่ยง
คุณควรที่จะลองเสี่ยงกับชีวิต โดยการออกไปเผชิญโลกภายนอกที่ไม่คุ้นเคยบ้าง หาประสบการณ์แปลกใหม่ สร้างสีสันให้กับชีวิต รู้จักเพื่อนใหม่ๆ เปิดใจมองโลกให้กว้าง ยิ้มเข้าไว้ในทุกแห่งที่คุณย่างกรายไป รอยยิ้มเป็นประตูอย่างดีสำหรับมิตรภาพ
3. มีมนุษย์สัมพันธ์
เพราะคนที่จะดึงดูดใจคนอื่นนั้น โดยมากจะไม่ใช่คนที่วางเฉย หากเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี หาโอกาสคุยกับคนใกล้เคียงก่อน แล้วกระจายไปยังคนรอบข้าง ยิ่งคุณผูกมิตรกับคนทั่วไปมากขึ้นเท่าไหร่ เสน่ห์ในตัวคุณก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ที่ควรระวังคืออย่าพูดมากเกินไป จนคู่สนทนาเกิดความรำคาญ
4. รอบรู้สนใจในทุกๆ เรื่อง
ต้องพึงหาความรู้ใส่ตัวไว้ในทุกๆ เรื่อง เผื่อว่ามีคนถาม แล้วคุณจะได้แสดงภูมิปัญญาออกไปให้เขาฮือฮาเล่น แต่อย่าอวดตัวเองว่าแน่เหลือหลาย เพราะแทนที่จะเป็นผลดีกลับติดลบ แม้ว่าคุณเก่งจริงก็ตาม ไม่สังเกตหรือว่าคนที่เข้ากับใครๆ ได้ทุกคนคือคนที่รู้จักถ่อมตัว ถ้าเรื่องไหนที่คุณไม่รู้ก็จงบอกออกไปเรียบๆ ว่าไม่ได้ติดตามเรื่องนี้ แล้วถามกลับอย่างสุภาพว่าเขาพอจะให้ความรู้แก่คุณบ้างได้ไหม อย่าดันทุรังตอบไปข้างๆ คูๆ เด็ดขาด
5. ท่วงท่าให้ดูสง่างาม มั่นใจ สร้างความดูดีให้กับตัวเอง
คุณอาจเคยเห็นคนที่มองรวมๆ แล้วดูดีมีเสน่ห์กว่าคนหล่อหรือสวยแต่บุคลิคหรือการแต่งตัวไม่ดี เพียงเรามีความคิดที่เอาใจใส่ตัวเอง หน้าตาที่เข้าท่าให้ดูสง่า มั่นใจดูแลผิวพรรณให้สะอาดสะอ้าน แต่งเนื้อแต่งตัวให้เหมาะกับโอกาสและสถานที่ ผมเผ้าทำให้รับกับใบหน้า อย่าตามแฟชั่นจนเกินงาม เพราะอาจไม่เหมาะกับเราก็ได้ ยิ่งคุณดูแลตัวเองมากขึ้นเท่าไหร่ ผลกระทบจากสายตาคนภายนอกก็จะส่งผลให้ความเชื่อมั่นในตัวคุณเพิ่มมากขึ้น
6. หมั่นชมผู้อื่นด้วยความจริงใจ
อย่าสงวนคำพูดชมเชยคนอื่นไว้เพื่อตนเอง ถ้าคุณชื่นชมใครจงแสดงออกมาอย่างจริงใจ เพราะในที่สุดคำชมนั้นจะหวนกลับมาหาคุณเอง เพราะเมื่อคุณเห็นความดีงามในตัวผู้อื่น เขาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องชมเชยคุณเช่นกัน เป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณด้วย อย่าไปคิดว่าการชมเชยผู้อื่นเป็นเรื่องไม่ดี ไม่จริงใจ เพราะนั่นก็เป็นการแสดงถึงการที่คุณก็เชื่อในความคิดของคุณเหมือนกัน จึงกล้าชมเชยเขาออกไป
7. หยิบใจเขามาใส่ใจเรา
การมองโลกด้วยสายตาคนอื่น เป็นคุณสมบัติที่น่ารักมากทีเดียว เพราะเมื่อคุณยืมสายตาของคนอื่นมาไตร่ตรองในการกระทำที่ทำลงไป ก็จะรู้ซึ้งว่าที่ทำไปน่ะถูกรึเปล่า บางครั้งเราอาจจะคิดว่าตัวเราที่เป็นอยู่น่ะ มันดีเลิศประเสริฐศรีหาใครเทียบเทียมแล้ว แต่ความจริงในสายตาของคนอื่นกลับกลายเป็นคนที่เฉิ่มเบ๊อะที่หลงตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลองมองตัวเองด้วยสายตาของผู้อื่น แล้วจะรู้ก้าวต่อไปที่จะเดินไปข้างหน้านั้น ไปขวางหูขวางตาชาวบ้านเขารึเปล่า หรือว่าเขากำลังมองดูเราอย่างชื่นชมกันแน่
8. ลบล้างความทรงจำที่เลวร้าย
ถ้าคุณมีความทรงจำที่ทำร้ายความรู้สึกมาก่อน จงลบล้างมันเสียให้หมด เพราะคุณอยู่กับวันนี้และพรุ่งนี้เท่านั้น เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี นึกเสียว่าเรากำลังเรียนรู้โลกทั้งสองด้าน มีทั้งดีและไม่ดี อย่าไปเก็บความทรงจำในอดีตมาคิดให้ขุ่นมัวเสียความมั่นใจไปเปล่าๆ
วิธีสร้างความมั่นใจด้วยตัวเองง่ายๆ แค่ 8 ข้อนี้ ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ถ้าเรามั่นใจและเป็นตัวของตัวเองในแบบฉบับของคุณอยู่แล้ว รับรองว่างานของคุณต้องประสบความสำเร็จแน่นอน....

********************

วิธีสร้างกำลังใจให้ตัวเอง

วิธีสร้างกำลังใจให้ตัวเอง
ในช่วงที่คุณรู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ ไม่อยากจะทำอะไรสักอย่างเพราะมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนจิตใจ แล้วคุณจะทำยังไงดี??

ให้กำลังใจตัวเอง บอกกับตัวเองว่า คุณยังมีหวัง คุณยังมีความสามารถที่จะฝ่าฟันความรู้สึกแย่ๆ นี้ไปได้ . . . เข้มแข็งเอาไว้!
บอกใครสักคนให้รับรู้ เพื่อแบ่งปันความรู้สึกต่อกัน . . .แต่ถ้าหาไม่ได้ กระดาษกับดินสอใกล้มือ เขียนระบายความไม่สบายใจ อารมณ์ที่สลดหดหู่ทั้งหมดลงไป การระบายแบบนี้จะทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้นระดับหนึ่ง
มองหาข้อดีของตัวเอง คนทุกคนจะต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวเอง คุณอาจจะถูกใครต่อใครต่อว่ามามากมาย แต่ที่พึ่งสุดท้าย ก็คือ ตัวคุณเอง ดังนั้นขอให้นึกถึงสิ่งดีๆ ที่ตัวเองได้เคยทำมาตั้งมากมาย
มองโลกในแง่ดี สิ่งที่คุณเจอมันไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมด ถึงมันจะทำให้คุณรู้สึกแย่ขนาดไหน แต่คุณก็จะสามารถผ่านพ้นไปได้ และท้ายสุดมันก็จะกลายเป็นประสบการณ์สอนใจให้คุณเข้มแข็งขึ้น
. อย่าลังเลที่จะเข้าไปหาคนที่เขารักคุณ และบอกกับเขาว่าคุณกำลังรู้สึกแย่ขนาดไหน และคุณต้องการอะไร เขานั่นแหละที่จะเป็นผู้ให้กำลังใจคุณได้เป็นอย่างดี
หากิจกรรมทำ อย่าให้ตัวเองอยู่ว่างๆ เฉยๆ เมื่อคุณอารมณ์ดีขึ้นในระดับหนึ่งแล้วให้ลุกขึ้นสู้ต่อไป เริ่มจาก "ตั้งใจ" ที่จะทำอะไรสักอย่างให้กับตัวเองหรือคนใกล้ชิด
ลงมือลงแรง ทำกิจกรรมที่จะฆ่าเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ งานบ้าน งานอดิเรก ลงมือแล้วคุณจะรู้ว่า "คุณทำได้!" ยังไม่ได้ด้อยศักยภาพไปอย่างที่คุณคิดทั้งหมด
วางแผนอนาคต ดูสิว่าคุณอยากทำหรือต้องทำอะไรบ้าง เริ่มต้นชีวิตใหม่ให้กับตัวเองและใช้ความสามารถให้เต็มที่ และถ้าหากจะต้องล้มอีกคราวหน้า คุณจะได้หายามารักษาแผลให้หายได้เร็วยิ่งขึ้น

“ ฟ้าให้โอกาสเรามา แต่ก็ไม่ลืมมอบความลำบากให้ด้วย เพื่อเป็นบทพิสูจน์ว่าเราสมควรได้รับโอกาสนั้นหรือเปล่า ”

คุณสมบัติผู้นำที่ดี

คุณสมบัติผู้นำที่ดี
1. ความรู้ (Knowledge)
การเป็นผู้นำนั้น ความรู้เป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ความรู้ในที่นี้มิได้หมายถึงเฉพาะความรู้
เกี่ยวกับงานในหน้าที่เท่านั้น หากแต่รวมถึงการใฝ่หาความรู้เพิ่มเติมในด้านอื่นๆ ด้วย การจะเป็นผู้นำที่ดี หัวหน้างานจึงต้องเป็นผู้รอบรู้ ยิ่งรอบรู้มากเพียงใด ฐานะแห่งความเป็นผุ้นำก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้นเพียงนั้น
2. ความริเริ่ม (Initiative)
ความริเริ่ม คือ ความสามารถที่จะปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดในขอบเขตอำนาจหน้าที่ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องคอยคำสั่ง หรือความสามารถแสดงความคิดเห็นที่จะแก้ไขสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ดีขึ้น หรือเจริญขึ้นได้ด้วยตนเอง ความริเริ่มจะเจริญงอกงามได้ หัวหน้างานจะต้องมีความกระตือรือร้น คือมีใจจดจ่องานดี มีความเอาใจใส่ต่อหน้าที่ มีพลังใจที่ต้องการความสำเร็จอยู่เบื้องหน้า
3. มีความกล้าหาญและความเด็ดขาด ( Courage and firmness)
ผู้นำที่ดีจะต้องไม่กลัวต่ออันตราย ความยากลำบาก หรือความเจ็บปวดใดๆ ทั้งทางกาย วาจา และใจผู้นำที่มีความกล้าหาญ จะช่วยให้สามารถผจญต่องานต่างๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้นอกจากความกล้าหาญแล้ว ความเด็ดขาดก็เป็นลักษณะอันหนึ่งที่จะต้องทำให้เกิดมีขึ้นในตัวของผู้นำเองต้องอยู่ในลักษณะของการ “กล้าได้กล้าเสีย” ด้วย
4. การมีมนุษยสัมพันธ์ (Human relations)
ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักประสานความคิด ประสานประโยชน์สามารถทำงานร่วมกับคนทุกเพศ ทุกวัย ทุกระดับการศึกษาได้ ผู้นำที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีจะช่วยให้ปัญหาใหญ่เป็นปัญหาเล็กได้
5. มีความยุติธรรมและซื่อสัตย์สุจริต ( Fairness and Honesty)
ผู้นำที่ดีจะต้องอาศัยหลักของความถูกต้อง หลักแห่งเหตุผลและความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและผู้อื่น เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยสั่งการ หรือปฏิบัติงานด้วยจิตที่ปราศจากอคติ ปราศจากความลำเอียง ไม่เล่นพรรคเล่นพวก
6. มีความอดทน (Patience)
ความอดทน จะเป็นพลังอันหนึ่งที่จะผลักดันงานให้ไปสู่จุดหมายปลายทางได้ อย่างแท้จริง

7. มีความตื่นตัวแต่ไม่ตื่นตูม ( Alertness )
ความตื่นตัว หมายถึง ความระมัดระวัง ความสุขุมรอบคอบ ความไม่ประมาท ไม่ยืดยาขาดความกระฉับกระเฉง มีความฉับไวในการปฏิบัติงานทันต่อเหตุการณ์ความตื่นตัวเป็นลักษณะที่แสดงออกทางกาย แต่การไม่ตื่นตูม เป็นพลังทางจิตที่จะหยุดคิดไตร่ตรองต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น รู้จักใช้ดุลยพินิจที่จะพิจารณาสิ่งต่างๆ หรือเหตุต่างๆได้อย่างถูกต้องพูดง่ายๆ ผู้นำที่ดีจะต้องรู้จักควบคุมตัวเองนั่นเอง (Self control)
มีความภักดี (Loyalty)
การเป็นผู้นำหรือหัวหน้าที่ดีนั้น จำเป็นต้องมีความจงรักภักดีต่อหมู่คณะ ต่อส่วนรวมและต่อองค์การ ความภักดีนี้ จะช่วยให้หัวหน้าได้รับความไว้วางใจ และปกป้องภัยอันตรายในทุกทิศได้เป็นอย่างดี
มีความสงบเสงี่ยมไม่ถือตัว (Modesty)
ผู้นำที่ดีจะต้องๆไม่หยิ่งยโส ไม่จองหอง ไม่วางอำนาจ และไม่ภูมิใจในสิ่งที่ไร้เหตุผลความสงบเสงี่ยมนี้ ถ้ามีอยู่ในหัวหน้างานคนใดแล้ว ก็จะทำให้ลูกน้องมีความนับถือ และให้ความร่วมมือเสมอ

*****************************

หลักการสร้างพฤติกรรมเพื่อความสำเร็จ

หลักการสร้างพฤติกรรมเพื่อความสำเร็จ
ปฏิบัติตามแบบฝึกหัด 5 ประการนี้ ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคุณเอง และเป็นพฤติกรรมผู้นำ
1. นั่งแถวหน้า ฝึกเสียตั้งแต่บัดนี้ตั้งเป็นกฎเลยว่าจะต้องนั่งแถวหน้าสุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกเด่นมากขึ้นในแถวหน้า แต่อย่าลืมว่าถ้าไม่เด่นก็ไม่ใช่ความสำเร็จ
2. ฝึกสบตา เพื่อที่จะบอกคนอื่นว่าคุณจริงใจ คุณเชื่อมั่นในสิ่งที่กำลังพูดกับคนอื่น คุณไม่กลัว คุณมีความมั่นใจ ใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ จ้องที่ตาของคนทึ่พูดด้วย มันไม่เพียงแต่จะสร้างความมั่นใจให้กับคุณเอง แต่สร้างความมั่นใจให้กับคนที่คุณพูดด้วย
3. เดินให้เร็วขึ้น 25 เปอร์เซ็นต์ ท่าเดินของเร็วแสดงถึงความมั่นใจคล้ายกับการวิ่งนิดๆ จากท่าเดินจะประกาศให้โลกรู้ว่า คุณกำลังไปที่ที่สำคัญ มีสิ่งสำคัญทึ่จะต้องทำ มากยิ่งกว่านั้นคุณกำลังจะประสบผลสำเร็จ
4.ฝึกพูดแสดงความคิดเห็น นี่เป็นเรื่องสำคัญ แต่ละครั้งที่คุณไม่พูด คุณได้กลืนยาพิษทีทำลายความเชื่อมั่นเข้าไปอีกชุดหนึ่ง คุณจะลดความเชื่อมั่นในตัวเองลงไปเรื่อย ๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ยิ่งคุณพูดมากขึ้นคุณยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองและทำให้คุณพูดง่ายขึ้นในคราวหน้า จงพูดเพราะว่า การพูดเป็นเสมือนให้วิตามินกับการสร้างความมั่นใจ
5.ยิ้มกว้าง การยิ้มจะช่วยให้กำลังใจดีขึ้นการยิ้มเป็นยาขนานเยี่ยมสำหรับคนที่ไม่มีความมั่นใจในตนเอง การยิ้มจริง ๆ นั้นไม่เพียงแต่ช่วยรักษาความรู้สึกป่วยของคุณ แต่จะสลายความรู้สึกขัดแย้งของคนอื่นทันที คนอื่นจะโกรธคุณไม่ได้ถ้าคุณยิ้มให้เขาอย่างเปิดเผยและจริงใจ



*********************

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สวัสดีปีใหม่2555, Happy New Year 2012

รื่นเริงเถลิงศก สุนทราภรณ์

รำวงปีใหม่

คอนเสิร์ต 100 ปี จำได้ไหม

กลุ้มใจ.mp4

กลุ้มใจ.mp4

เพลง ลมหายใจความคิดถึง บี พงษ์พันธ์

คอนเสิร์ตพงษ์ำพันธ์วันสบายคนกันเอง

ตาอินกับตานา บี พงษ์พันธ์

รักไม่รู้ดับ บี พงษ์พันธ์

สายเกินไป บี พงษ์พันธ์.mp4

ถ้าหัวใจฉันมีปีก บี พงษ์พันธ์.mp4

คุณจะงอนมากไปแล้ว บี พงษ์พันธ์.mp4

กลุ้มใจ.mp4

วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

๘๔ ปีแห่งความเรืองรองฯ [HD]

Skype คืออะไร ?

Skype คืออะไร ?
Skype (สไคป์) คือ โปรแกรมที่ใช้ติดต่อสื่อสารบนระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านอินเตอร์เน็ตอยู่ในรูปแบบการส่งข้อความพร้อมเสียงหรือภาพจากกล้อง Webcam เป็นการสื่อสารแบบ Real Time สามารถโต้ตอบกันรวดเร็ว โปรแกรมนี้จะมีลักษณะคล้ายกับโปรแกรม Windows Live Messenger หรือ MSN ข้อดี Skype มีคุณภาพกว่าทั้งในด้านคุณภาพของภาพและคุณภาพของเสียง ผู้ใช้งานจะได้รับสัญญาณที่ชัดเจนและคมชัด นอกจากนี้โปรแกรมนี้ยังสามารถทำ Video Conference เพื่อสนทนากันแบบตัวต่อตัว หรือประชุมสายพร้อมกันหลายคนผ่านอินเตอร์เน็ตได้ทั่วโลกและจุดเด่นของ Skype คือสามารถใช้งานเป็นโทรศัพท์ เพื่อโทรติดต่อกับผู้อื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้โปรแกรม Skype โทรไปยังเบอร์มือถือหรือเบอร์พื้นฐานทั่วไปได้ทั่วโลก (แต่มีค่าใช้จ่าย) และสำหรับการใช้ Skype ผ่านอินเตอร์เน็ตนั้นใช้งานได้ฟรีๆ
เว็บไซต์ของโปรแกรม http://www.skype.com/
ดาวน์โหลดโปรแกรม Skype (สำหรับ Windows)
ความต้องการของระบบ : จำเป็นต้องมีไมค์ หรือหูฟังพร้อมไมค์ เพื่อใช้ในการพูดคุย หากต้องการให้แสดงภาพจำเป็นต้องมีกล้อง Webcam

ข้อดีของโปรแกรม Skype
1. ดาวน์โหลดและใช้งานได้ฟรี
2. รองรับการทำงานบนคอมพิวเตอร์และบนโทรศัพท์มือถือ
3. ผู้ใช้บริการสามารถใช้เป็นโทรศัพท์ฟรีๆ โทรหาระหว่างสมาชิก ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ทั่วโลก
4. คุณภาพเสียงดีเหมือนใช้โทรศัพท์ เสียงตอบกลับของคู่สนทนาชัดเจน
5. ใช้เป็นโทรศัพท์โทรหาระหว่างสมาชิก Skpye ด้วยกันเอง (PC-to-PC) ฟรี

การติดตั้ง Skype และการใช้งานเบื้องต้น
1. ดาวน์โหลดไฟล์สำหรับติดตั้ง ให้ดับเบิ้ลคลิก SkypeSetupFull.exe เพื่อเริ่มติดตั้งโปรแกรม


2. หน้าต่างต้อนรับเพื่อเริ่มการติดตั้งโปรแกรม ให้คลิกเลือก I agree – install เพื่อเริ่มติดตั้งโปรแกรม


3. โปรแกรมกำลังติดตั้ง รอสักครู่


4. โปรแกรมติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ คลิกเลือก Finish เพื่อเริ่มใช้งานโปรแกรมทันที


5. ขั้นตอนการสมัครบัญชีผู้ใช้ Skype เพื่อเริ่มใช้งานสำหรับผู้ใช้งานใหม่ ที่ยังไม่มี กรอกข้อมูลให้ครบทุกช่อง เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อย คลิกเลือก I agree – create account เพื่อสร้างบัญชีผู้ใช้ (การตั้ง Password ต้องมีตัวอักษรและตัวเลขรวมอยู่ด้วย จำเป็นต้องใช้ตั้งแต่ 6-20 ตัว)


6. เริ่มสร้างบัญชีผู้ใช้ รอสักครู่


7. เมื่อบัญชีผู้ใช้งานถูกสร้างเรียบร้อย โปรแกรมจะทำการเข้าระบบให้โดยอัตโนมัติ โดยจะมีหน้าต่างแสดง 2 หน้าคือ หน้าต่างตัวโปรแกรมและหน้าต่างกรอกข้อมูลโปรไฟล์


8. หน้าตาโปรแกรม Skype พร้อมใช้งาน


9. การเพิ่มบัญชีผู้ใช้งานคนอื่นๆ ให้คลิกเลือก Add a contact


10. ขั้นตอนการเพิ่ม Contact กรอกอีเมล์ เบอร์โทรศัพท์ ชื่อและ Skype name (ไม่จำเป็นต้องกรอกหมดทุกช่อง หากไม่ทราบข้อมูล สามารถใส่ข้อมูลเฉพาะ Skype name ได้)


11. หากต้องการเริ่มสนทนาให้คลิกเลือกบัญชีผู้ใช้ที่ต้องการสนทนาด้วย จากนั้นคลิกเลือกรูปแบบการติดต่อ เช่น Call, Video Call เป็นต้น

วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พรปีใหม่ เพลงพระราชนิพนธ์

84 พรรษา ดวงใจราษฎร์ ปราชญ์แห่งน้ำ

รูปที่มีทุกบ้าน

ต้นไม้ของพ่อ

เพลงพ่อแห่งแผ่นดิน

01-ดอยเต่าดอทคอม - DOI TAO DOT COM

เพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่

jingle bells

The ABC Song

ok999ko ปิงปองเทพ ตลกๆ

รวมโครตของคน สุดยอด

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 สุนัขที่ฉลาด!!

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.4

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.3

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.2

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.1

หมายิ้ม

เด็ก 8 ขวบเต้นบีบอยแข่งกับผู้ใหญ่

ท่านยังจำคำเหล่านี้ได้ไหม? เล่าท.

ราชวัลลภ ปี ๒๕๕๐ (๓/๓)

ราชวัลลภ ปี ๒๕๕๐ (๒/๓)

ราชวัลลภ ปี ๒๕๕๐ (๑/๓)

วิดีโอ HD นครศรีธรรมราช on Vimeo

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การวางแผนสุขภาพในวัย40+

เอดส์คืออะไร

เอดส์ คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลงเนื่องจากร่างการได้รับเชื้อไวรัสที่เรียกว่า (HIV) หรือเชื้อไวรัสเอดส์ทำให้เม็ดเลือดขาว ที่เป็นภูมิคุ้มกันถูกทำลายลง จนร่างกายติดเชื้อโรคอื่น ๆได้ง่าย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อฉกฉวยหรือโรคแทรกซ้อน ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยเอดส์ จึงมีอาการแสดงออกของโรคต่าง ไ เช่นโรคปอด,โรคผิวหนังและโรคอื่น ๆ เป็น ๆ หายๆ หากไม่ได้รับการรักษาโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ภูมิคุ้มกันจะเสื่อมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดผู้ป่วยจะเสียชีวิต
เอดส์ป้องกันได้
1. งดการเที่ยวแหล่งบริการต่าง ๆ ที่นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์
2. หากจะมีเพศสัมพันธ์ควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
3. ถ้าจะมีบุตร ควรตรวจเลือดทั้งสามีและภรรยาเพราะบุตรอาจติดเชื้อ
4. งดการดื่มสุราเพราะอาจพาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
5. ถ้าพบอุบัติเหตุที่มีเลือดกระจาย เวลาช่วยเหลือควรใช้ถุงมือหรือถุงพลาสติกทุกครั้ง
6. หยุดเสพยาเสพติด หากเลิกไม่ได้ ควรใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่สะอาด

ทางไม่ติดเชื้อเอดส์
1. การอยู่ในบ้านเดียวกัน
2. จูบแบบธรรมดา
3. ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน
4. ใช้ภาชนะใส่อาหารร่วมกัน
5. ไอ จามรดกัน
6. ใช้ห้องน้ำร่วมกัน
7. ยุงหรือแมลงกัด
8. การกอดกันธรรมดา
9. การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน
10. การอยู่ร่วมกันในชุมชน เช่นโรงภาพยนต์ สโมสร
วิธีปฏิบัติตนถ้าคุณติดเชื้อเอดส์
1. ไม่รับเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นอีก โดยการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ร่วมเพศระหว่างผู้ติดเชื้อเอดส์โดยไม่ใช้ถุงยาง ต่างฝ่ายจะเพิ่มเชื้อให้กัน และจำทำให้ทั้งสองฝ่ายมีอาการเร็วขึ้น
2. มีกำลังใจดีและเข็มแข็ง ภาวะซึมเศร้าจะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง
3. บำรุงร่างกายให้แข็งแรงรับประทานอาหารครบทุกหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
4. งดการบริจาคเลือดหรืออวัยวะให้ผู้อื่น
5. ลดภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อชนิดต่าง ๆ โดย
- อยู่ในที่ ๆ อากาศถ่ายเทดี
- ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ เช่น สุนัข นก แมว เพราะสัตว์เหล่านี้มีเชื้อโรคและพยาธิมาก
- งดรับประทานอาหารดิบ ๆ สุก ๆ
- ควรดื่มนมพาสเจอร์ไรส์แล้ว

ไวรัสตับอักเสบ

ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย มีน้ำหนัก 1,200-1,500 กรัม ในผู้ใหญ่ในเด็กขนาดตับจะใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของร่างกายลักษณะคล้ายตับหมู

ทำหน้าที่เปรียบเสมือนโรงงานเคมีที่สำคัญที่สุด เพราะหน้าที่มากมาย เช่น เปลี่ยนสภาพของสารอาหารจำพวกโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และเกลือแร่ที่กินเข้าไปให้อยู่ในสภาพใช้ได้

ทำหน้าที่เป็นคลัง โดยตับจะเก็บกลัยโคเจนไขมันฯลฯ เอาไว้และปล่อยเมื่อร่างกายต้องการ

ทำหน้าที่สังเคราะห์ เช่น สร้างโปรตีนต่าง ๆ เช่น สร้างโปรตีนที่ทำให้เลือดแข็งตัว (ไฟบริโนเจน) แอลบูมิน และสร้างน้ำดี ทำหน้าที่กำจักสารพิษหรือยาที่เราทานเข้าไป

โดยเหตุที่ตับทำหน้าที่มากมาย เมื่อตับเป็นโรคจึงกระทบต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกายอย่างมาก โรคตับมีมากมายหลายสิบชนิดโดยในประเทศไทยรู้จักกันดีในคำว่า ตับอักเสบ จึงพบว่า เป็นการอักเสบจากไวรัสมากที่สุด

โรคตับอักเสบจากไวรัส หมายถึง โรคทีเกิดจากการติดเชื้อจากไวรัสทำให้เกิดการอักเสบที่ตับโดยตรง และกระจายไปทั่วทั้งตับมนุษย์พบพันธ์นี้มานานกว่า 2,000 ปี จนเมื่อ 30 ปีมานี้เองมีการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ มากมายที่เกี่ยวกับไวรัสและกำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคได้บ่อยในประเทศไทย ได้แก่

1. ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อโดยการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม

2. ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อโดยการรับเลือด ผลผลิตจากเลือดหรือเข็มฉีดยา

3. ไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อคล้ายไวรัสบี

4. ไวรัสตับอักเสบดี ยังไม่พบข้อมูลที่แน่นอน

5. ไวรัสตับอักเสบอี ติดต่อคล้ายไวรัสเอ
ประวัติและอาการ

โดยปกติตับอักเสบจากไวรัสเอ,บี,ซี,ดี,อี มีอาการคล้ายคลึงกันมาก จนแยกกันไม่ได้แต่ลนิด บี จะรุนแรงกว่าชนิดอื่น

อาการเริ่มแรกจะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ต่อมามีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร (ทานยาแก้หวัดจะไม่ดีขึ้น) มีคลื่นไส้อาเจียน จะอ่อนเพลียมาก หลังจากมีไข้ 4-5 วัน หรือหลังจากอาเจียน 2-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มตาเหลือง ตัวเหลืองและปัสสาวะสีเข้ม ช่วงที่มีตาเหลืองอาการไข้จะเริ่มหายไป คลื่อนไส้ อาเจียนก็ไม่มี เจริญอาหารสบายตัวขึ้นมาก แต่อาการตาเหลืองยังคงมีต่อไประยะหนึ่ง แต่ละคนอาจเร็วหรือช้าต่างกัน

มีผู้ป่วยบางรายเป็นตับอักเสบจากไวรัสโดยไม่มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ซึ่งจะตรวจได้โดยการตรวจเลือดดูสมรรถภาพของตับเท่านั้น

ดังนั้นหากท่านมีอาการที่น่าสงสัยควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยได้แต่เนิ่น ๆ หรือทางที่ดีที่สุดก็คือ “ตรวจสุขภาพประจำปี” และ”ฉีดวัคซีน”



ด้วยความห่วงใยจาก….สมัย สำลี

เป็นโรคเก๊าต์ อะไรทานได้อะไรทานไม่ได้

โรคเก๊าต์เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการเผาผลาญโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกายทำให้กรดยูริคในเลือดสูง และกรดยูริคนี้จะเป็นผลึกไปเกาะตามอวัยวะต่าง ๆของร่างกาย ถ้าเกาะตามข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือข้อเท้า ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อเป็นๆหายๆ ถ้าไม้ได้รับการรักษาอาการจะรุนแรงขึ้นจนข้อพิการได้ นอกจากของการรักษาของแพทย์แล้ว การรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง จะมีส่วนช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคได้เป็นอย่างดี
1. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภท เครื่องในสัตว์ กะปิ ปลากระป๋อง ไข่ปลา น้ำต้มเนื้อ ยอดผักโขม ชะอม ถั่วเมล็ดแห้ง
2. งดเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะมีผลต่อการขับถ่ายกรดยูริคได้น้อยลง
3. อาหารประเภทนม เนยสด เนยแข็ง ไข่ ข้าว ผลไม้ สามารถรับประทานได้อย่างปกติ


อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
1. กลุ่มที่ห้ามรับประทาน
- น้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งน้ำผึ้ง
- ขนมหวานและขนมเชื่อมต่าง ๆ
- ผลไม้กวนและผลไม้เชื่อม
- น้ำหวานต่าง ๆ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
- ผลไม้รสหวานจัดเช่น ทุเรียน องุ่น ลำไย มะม่วงสุก ขนุน ละมุด อ้อย
2. อาหารที่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณ
- อาหารพวกแป้ง เช่น ข้าว เผือก มัน ถั่ว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง มักกะโรนี
- อาหารไขมันสูง เช่นขาหมู่ ข้าวมันไก่ หมูสามชั้น อาหารทอด
- ผักประเภทที่มีแป้งมาก เช่นหัวผักกาด ฟักทอง หัวหอม
- ผลไม้บางชนิด เช่น ส้ม เงาะ สับปะรด มะละกอ ฝรั่ง กล้วย
3. อาหารที่รับประทานได้ไม่จำกัด
- ผักทุกชนิด (ยกเว้นที่มีแป้งมาก)
- อาหารโปรตีนประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ไห่ วัว ปู ปลา กุ้ง เนื้อ หมู และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ เป็นต้น


ข้อเท้าแผลงทำอย่างไร
1. หยุดการลงน้ำหนักบนเท้านั้น หลีกเลี่ยงการเดินมาก ๆ พันผ้ายืดเพื่อลดการเคลื่อนไหว
2. ยกเท้าสูงเพื่อให้เลือดและของเสียไหลกลับได้ดีขึ้น
3. ชั่วโมงแรก ประคบความเย็น 15-20 นาที เพื่อลดบวม หลังจากนั้นประคบด้วยความร้อนเพื่อเป็นการซ่อมแซม หากมีการบวมหรือปวดมากและนานผิดปกติควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด


ปวดคอเนื่องจากนอนตกหมอน
คอตกหมอนจะมีอาการปวดคอหรือคอแข็งอย่างเฉียบพลัน มักจะเกิดหลังจากตื่นนอน มีวิธีแก้ไขดังนี้
1. พักผ่อนโดยการนอนราบชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก
2. ถ้าปวดคอภายใน 24 ช.ม. ควรประคบด้วยถุงผ้าหอน้ำแข็ง10-15 นาที
3. ถ้าปวดนานกว่า 24 ช.ม.ประคบร้อนด้วยถุงน้ำร้อน ผ้าชุบน้ำอุ่น 15-20 นาที
4. รับประทานยาเพื่อลดปวด
5. การยืดคอด้วยตนเองทำได้โดยดึงศรีษะไปในทิศทางที่หันไม่ได้ ช้า ๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อย ค้างไว้ประมาณ 30 นาที ทำชุดละ 3-10 ครั้งวันละ 3 ชุด
6. ไม่ควรนวดในระยะปวดเฉียบพลันเพราะจะทำให้ปวดมาก หากยังไม่หายให้พบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด


เป็นลมหรือหมดสติ
- ให้จับผู้ป่วยนอนราบลง ไม่ต้องหมุนหมอนให้ตะแคงหน้าไปด้านหนึ่ง เพื่อกันสำลักถ้าอาเจียนหรือมีเสมหะ
- ขยายเสื้อผ้าให้หลวมโดยเฉพาะบริเวณคอ
- ถ้าอากาศร้อนให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า
- ถ้าผู้ป่วยตัวเย็นก็ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายพอสมควร
- ถ้าผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว อย่าพยายามให้ดื่มน้ำหรือกรอกยา เพราะอาจสำลักเข้าปอดได้ง่าย ๆ


เล็บขบเจ็บจัง
เมื่อขอบเล็บด้านนอกงอกเข้าไปในเนื้อ หรือเกิดอุบัติเหตุทำให้เล็บขบจนรู้สึกปวด มีวิธีแก้ไขดังนี้
- ไม่ควรตัดเล็บให้โค้งมน ให้ตัดตรง ๆ จะได้ป้องกันไม่ให้เล็บงอกเกินขอบจนฝังเข้าไปในเนื้อได้
- ถ้าเล็บงอกเข้าไปในเนื้อ ให้ตัดเล็บส่วนนั้นออกไป และจุ่มเท้าในน้ำอุ่น
- ใช้เศษผ้าฝ้ายหรือแผ่นสำลีบาง ๆ แทรกตรงมุมเล็บ จนกว่าเล็บจะงอกออกมา
- ถ้าเป็นมากจนเล็บตัดออกไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์


เมื่อถูกตีหรือกระแทกบริเวณลูกตา
- ปิดตาข้างที่บาดเจ็บด้วยผ้าที่สะอาด
- ใช้ผ้าพันทับอีกครั้ง แต่อย่าใช้แรงกดลงบนลูกตา
- การปิดตาทั้ง 2 ข้างจะเป็นการป้องกันการเคลื่อนไหวของตาข้างปกติ
- ประคบด้วยน้ำเย็น
- รีบไปพบแพทย์

ไซนัสคืออะไร :

ไซนัสคืออะไร :

ไซนัสเป็นโพรงอากาศในกะโหลก ซึ่งพบได้ที่หัวคิ้ว ขอบจมูก และโหนกแก้ม หน้าที่ปรกติของโพรงไซนัสไม่เป็นที่ทราบที่แน่นอน แต่อาจทำให้

1. กะโหลก

2. เสียงก้อง

3. สร้างเมือกและคุ้มกันให้โพรงจมูก

โดยปรกติเมือกในโพรงไซนัสจะไหลเข้าสู่โพรงจมูก ผ่านเข้าช่องเล็ก ๆ ที่ผนังข้างจมูกเพื่อใช้ในการต่อสู้ เชื่อโรคและระบายสิ่งแปลกปลอมจากจมูกลงสู่ลำคอหรือออกทางจมูก

ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร :

เมื่อจมูกเกิดอาการบวม เช่น เป็นหวัด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในจมูก จะทำให้ช่องที่ติดต่อระหว่างโรงจมูก และโพรงไซนัสดังกล่าวอุดตัน ทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำเมือกในโพรงจมูก และเมื่อเชื้อโรคจากจมูกเข้าสู่โพรงไซนัสได้ ( อาจเกิดการสูดน้ำมูกอย่างแรง, หรือสั่งน้ำมูกอย่างแรง ขณะที่จมูกอุดตัน ) เชื้อโรคจะแบ่งตัวและทำให้เกิดการติดเชื้อของโพรงไซนัส และมีหนองเกิดขึ้น ทำให้จมูกยิ่งบวมมากขึ้น จึงเกิดภาวะ “ไซนัสอักเสบ”

อาการ :

อาการของโรคไซนัสอักเสบอาจแตกต่างกันระหว่างในเด็กและผู้ใหญ่โดยผู้ใหญ่จะมีอาการไขสูง, ปวดศรีษะ, และอ่อนเพลียได้มากกว่าในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งไม่ค่อยมีอาการดังกล่าว

เมื่อช่องที่ติดต่อระหว่างโพรงไซนัสและจมูกเปิดออกเป็นครั้งคราวหนองและเมือกจากโพรงไซนัส ก็จะไหลลงสู่จมูกและคอ ทำให้เกิดอาการ ดังนี้

1. น้ำมูกไหล โดยสีน้ำมูกอาจะเป็นสีเขียวเหลืองหรือขาวเป็นมูก

2. ไอ เมื่อเมือกหรือหนองไหลลงคอ โดยเฉพาะตอนกลางคืน

3. หายใจมีกลิ่น

4. คออักเสบ เป็นหวัดบ่อย ๆ

การรักษาโรคไซนัสอักเสบ

1. การให้ยาฆ่าเชื้อโรค

2. การลดบวมของโพรงจมูก เพื่อให้หนองในโพรงไซนัส ไหลถ่ายเทออกมาให้หมด

การให้ยาฆ่าเชื้อโรค ( ยาปฏิชีวนะ )

1.ยาที่ให้ฆ่าเชื้อโรคส่วนใหญ่จะเป็นยา Amoxicillin/clavulonic acid, cefaclor, claithromycin, Erythromycin โดยจะให้การรักษานานประมาณ 2-6 อาทิตย์

2.การให้ยาเพื่อลดบวมของโพรงไซนัส โดยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือหรือการให้ยาผ่านจมูก

3.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ซึ่งพบว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบ พบว่าเรื่องมากจากเป็นโรคภูมิแพ้ ดังนั้นผู้ป่วยดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงฝุ่น, หรือสิ่งกระตุ้นคือ ควันบุหรี่ การติดเชื้อจากคนรอบข้าง, การว่ายน้ำในสะที่ไม่ได้มาตรฐานหรือการอยู่ในที่แออัด

นพ.บัลลังก์ ศรีกฤษณรัตน์

เวียนศรีษะ

โดย หมอ “เชวง”

โรคเกี่ยวกับระบบการทรงตัวของร่างกาย คือโรควิงเวียนศรีษะ จากประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วยมานานพอสมควรพบอาการเป็นโรคนี้ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในระยะ 2-3 ปีหลังนี้นะครับพบเกือบทุกวัน หนักบ้าง เบาบ้าง อาการมีตั้งแต่เล็กน้อย เช่น มึน ๆ วิงเวียน สมองไม่โล่ง เมา ๆ (ทั้งที่ไม่ได้กินเหล้าหรือสุรา) มากจนถึงขั้นมีความรู้สึก “หมุน” อาจจะเป็นตัวหมุนเหวี่ยง,ลอยไปมาหรือรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมเช่น ผนังห้อง บ้านหมุนรอบตัวเรา พื้นเอียงไปมา ถ้าเป็นมากจะเสียการทรงตัว เดินแล้วอาจโซเซหรือล้มมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตกความรู้สึกอยากจะปัสสาวะหรืออุจจาระ บางทีความรู้สึกเหมือนใจจะขาด ต้องนอนหลับตาตลอด(เพราะลืมตาแล้วมันรู้สึกหมุน) เป็นความรู้สึกที่ทรมานพอสมควร คนไม่เป็นจะไม่ใรู้ โรคนี้เป็นมากในคนสูงอายุ หรือเริ่มแก่ก็ได้ เอ๊าะ ๆ พบน้อย ถ้าเป็นในผู้สูงอายุอาจจะทำให้ล้มแล้วบาดเจ็บซ้ำซ้อนก็ได้ เช่น บาดเจ็บศรีษะ,กระดูกหักข้อเคลื่อนได้ ก่อนอื่นต้องขออธิบายความซักเล็กน้อย ว่าการที่คนเราสามารถทรงตัวได้แบบปรกติ คือ นอน,นั่ง ,ยืน,เดินเหิน หันหน้า กลับหลัง ซ้าย ขวา ได้ก็เพรีาะมี่ระบบประสาทการทรงตัวทำงานปรกติ ซึ่งประกอบด้วย

1. หูชั้นใน โยงไปเซลล์ประสาทในก้านสมอง

2. ระบบประสาทการมองเห็น คือ ดวงตาแล้วส่งไปที่สมองใหญ่ที่ควบคุมการมอง

3. ระบบประสาทที่รับตำแหน่งมาจากข้อต่างๆ แล้วส่งไปสมองเล็ก

ถึงในภาวะปรกติ ระบบเหล่านี้ก็อาจจะทำงานมีขีดจำกัดเหมือนกัน คงจำกันได้สมัยเด็กๆ เวลาเล่นหมุนตัวเร็ว ๆ หรือนั่งม้าหมุน ก็จะทำให้เกิดการหมุน ๆ แต่ตอนนี้ก็เพียงแค่รู้สึกหมุนชักประเดี๋ยว ก็้เมาตาลายแล้ว บางทีเป็นอยู่นานด้วย เป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะหายแต่ก็สามารถฝึกฝนให้ทนขึ้นได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น นักบัลเล่ต์,สเก็ตน้ำแข็ง นักยิมนาสติก หมุนหลาย ๆรอบเป็นเวลานานๆ โดยที่ไม่เป็นอะไร

โรคที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ เสียศูนย์ หรือบ้านหมุนนี้ครับคือระบบการทรงตัวของหูชั้นในทำงานผิดปรกติ หรือปรับตัวไม่ทันอาจจะเป็นเองหรือมีการติดเชื้อของหู เชื้อหวัดธรรมดา เข้าไปในปราสาทหู ได้รับสารพิษหรือยาบางชนิด อากาศหนาวจัด ๆ ซึ่งมักจะเป็นตอนตื่นนอนเช้า ในท่านอนอาจจะมีการปวดหู หูอื้อ หรือมีเสียงในหูร่วมด้วย การอดนอนหรือเครียดจัด ๆไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จะซ้ำเติมให้อาการเป็นมากขึ้น หรือความทนทานต่อการเรียนลดน้อยลง

นอกจากนั้นก็มีสาเหตุมากจากเลือดไปเลี้ยงระบบปราสาทที่ควบคุมการทรงตัวไม่พอไปชั้วขณะ มักพบในคนสูงอายุ หรือมีโรคอยู่เดิม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง,ไขมันสูง ถ้าเส้นเลือดตีบไปเลย มีเซลล์ปราสาทตายบางส่วนอาจจะมีการเดินเซ,พูดไม่ชัดร่วมด้วย สาเหตุอื่น ๆ ที่พบไม่บ่อย เช่น เนื้องอกของเส้นปราสาทหู,เนื้องอกสมองเล็ก กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงทำให้เห็นภาพซ้อน

ยาที่มักทำให้เกิดการวิงเวียนหรือบ้านหมุน เช่นที่พบบ่อย ๆ มี

1. ยาปฏิชีวนะประเภทสเตรปโตไมซิน ที่ใช้ฉีดรักษาวัณโรค ปัจจุบันใช้น้อยลงแล้ว

2. ยากันชัก

3. ยาขับปัสสาวะ

4. ยาลดความดันโลหิต

5. ยาลดความอ้วน อาจจะเกิดขณะที่กิน หรือหยุดก็ได้ครับ

การติดเชื้อที่ไต เช่น กรวยไตอักเสบทำให้ เวียนศรีษะ อาเจียนมาร่วมกับมีไข้

จะเห็นได้ว่า สาเหตุของโรคบ้านหมุน(เสียศูนย์) นับว่ามากมายหลากหลาย แต่ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะส่วนใหญ่ ถ้าเป็นไม่มากกินยาหอม ยาดมยาลม นอนพักซักครู่ก็จะหาย ถ้าเป็นมากขึ้น นอน รพ. ให้น้ำเกลือให้หมอรักษาก็จะหายใน 1-2 วัน หรือไม่เกิน7 วัน ถ้ามากกว่านั้น หรือถ้าเป็น ๆหาย ๆ ซึ่งมักเป็นในคนสูงอายุ อาจจะต้องตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด เช่น ตรวจเลือด เอ็กซเรย์สมองหรืออื่น ๆ และต้องรักษาโรคที่เป็นอยู่เดิมควบคู่ไปด้วย นอกจากนั้นกายภาพบำบัดโดยการฝึกท่านั่ง-นอน จะทำให้ทนทานต่อการหมุนดีขึ้นหรือจนหายขาดได้

ก็อย่างที่บอกละครับ 2-3 ปี หลังนี้ พบอาการป่วยแบบนี้บ่อย ๆ ความเครียดก็คงจะมีส่วนแน่ ๆ ยิ่งนอนไม่หลับด้วยแล้ว แถมมีไมแกรน ปวดหัวพ่วงบ้านหมุนมาอีก ชักจะยุ่งกันไปใหญ่อย่าไปคิดอะไรมากเลยนะครับ

โรคลมชัก

โดย หมอเชวง

โรคลมชัก คือ โรคที่มีอาการชัก,เกร็ง,กระตุกส่วนใดส่วนหนึ่งหรืออาจจะทั้งหมดทุกส่วนของร่างกายเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะมีอาการหมดสติ กัดฟัน,กัดลิ้น, ร่วมด้วยถ้ารุนแรงๆไม่ยากใช้คำว่าลมบ้าหมู เพราะอาจจะทำให้เข้าใจผิด เช่น กินหมูแล้วชัก ซึ่งไม่เกี่ยวกัน หรือในคนที่เกลียดหมูเขาอาจจะทำให้เข้าใจกันผิด เขาอาจเคืองเอาก็ได้ (อาจจะต้องบอกว่าเป็นลมบ้าไก่,บ้าเป็ด,แทน) คนเราปกติ อนุญาตให้ชักได้ 1 ครั้ง เช่น อดนอนจัดๆ เครียดมาก ๆ ดื่มหนักๆ ถ้าชักมากกว่า 1 ครั้ง ต้องหาสาเหตุ เช่น ในเด็กอาจจะเกิดจาก ไข้ ความพิการทางสมอง ในผู้ใหญ่ต้องหาว่าอาจจะมีไข่พยาธิตัวตืดขึ้นสมอง เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดสมองโป่งหรือตีบ เป็นต้น

โรคลมชัก จะมีอันตรายช่วงที่ชักมาก ๆ เช่นกัดลิ้นตัวเอง ล้มแล้วบาดเจ็บ หรือถ้ามีโรคประจำตัวอื่น เช่น โรคหัวใจ อาจจะหัวใจวายต่อได้ ช่วงที่ชัก ถ้าอยู่บ้านต้องหาอะไรรองฟันไม่ให้กัดลิ้น เช่นยาง ผ้าผืนเล็ก ๆ ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้ด้ามช้อน ถอดฟันปลอม(ถ้ามี) อย่าพยายามเอานิ้วมือเราไปแหยไว้ก่อน นิ้วอาจจะขาดได้ จากนั้นรีบนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ก็จะทำการช่วยเหลือเบื้องต้น หาสาเหตุ และการรักษาอาการแทรกซ้อน (ถ้ามี)

การให้ยากันชัก ในกรณีที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน ก็จะให้ยากันชักกินประมาณ 3-5 ปี ในช่วงการรักษานี้ คนไข้ต้องพยายามกินยาให้สม่ำเสมอ ไม่ควรที่จะอดนอน เครียดหรือดิ่มเหล้า ไม่ขาดยาเองเพราะจะทำให้ชักรุนแรง ถ้าหากมีสาเหตุก็รักษาไปตานนั้นเช่น ให้ยาฆ่าไข่พยาธิตัวตืด รวมไปด้วย

ไตวายเรื้อรัง

โดย หมอ “เวง”

เห็นชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งงงนะครับ ฟังผมคุยไปเรื่อย ๆแล้วจะเข้าใจ ช่วง2-3 ปีก่อน ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองลาวบ่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็จะไปปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ ก็ไปเยียมเยื่อนคนไข้ซึ่งเป็นลูกค้าของรพ.เป็นหลัก และถือโอกาสไปเที่ยวด้วย ใคร่ๆที่ชอบธรรมชาติ(ที่บริสุทธิ์) ชอบความเป็นอยู่แบบเดิมๆ แล้วมักจะชอบไปเที่ยวเมืองลาว เหมือนเรากลับไปหาอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน เลย ทำให้มักคุ้นกับผู้คนแถบนี้อยู่พอสมควร ลาวกับไทยสมเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจริง ๆ นะครับ คือพูดง่าย ๆ คุยกันรู้เรื่อง ไม่ต้องพูดภาษาอื่น และที่ชอบอีกอย่างคือ ภาษาพูดเค้าจะใช้คำง่าย ๆ เช่น โรงพยาบาล เค้าเรียก “โฮงหมอ” ห้องฉุกเฉิน เรียก”ห้องฟ้าว” ห้องผ่าตัดเรียกั”ห้องปาด,ห” ห้องคลอดเรียก”ห้องประสูติ” เป็นต้น ส่วนบักไข่หลังที่จั่วหัวไว้ หมายถึง ไตนั่นเอง

บักไข่หลังเสื่อมคือ โรคไตวาย เหตุผลที่เรียก “ไข่หลัง” น่าจะเป็นจาก(ผมเดาเองนะครับ) รูปร่างของไตเหมือนไข่(ความจริงเหมือนเมล็ดถั่ว) อยู่ที่หลัง(บั้นเอว) 2 ข้าง (ข้างละอัน) หรือจะแปลอีกอย่าง คือ ไข่ที่อยู่ข้างหลัง โดยเหตุผลสนับสนุนว่า ไข่คู่อันข้างหน้าก็คือลูกอัณฑะ (รึเปล่า)

โรคไต มีหลายประเภทนะครับบางอย่างเป็นแล้วรักษาหายขาดปกติโรคบางอย่างรุนแรง มีการทำลายไตไปมากๆ ก็ทำหน้าที่ไตลดน้อยลงมากๆ ร่างกายก็เริ่มแย่ จากภาวะไตพร่องกลายเป็นโรคไตวาย ซึ่งผมพูดถึงเฉพาะ ไตวายเรื้อรัง ซึ่งรักษาไม่ค่อยหายขาดและการรักษาค่อนข้างซับซ้อนก่อนอื่นเรามาดูที่ไตก่อนนะครับ ไตมีหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่หลักที่ทราบกันทั่วไป คือ ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ที่เราเห็นกันทุกวัน ๆ คือปัสสาวะนั่นแหละครับปัสสาวะมาตั้งเยอะ 50-60 ปีมาแล้วไม่มีปัญหา ไม่ปัสสาวะซัก 2 วัน จะเป็นอะไรไปเกิดเรื่องแน่นอนครับ ในการดำรงชีวิตของทุกๆ วันซึ่งต้องกินอาหารเข้าไปเพื่อย่อยสลายเป็นพลังงานให้มีชีวิตอยู่(ใช้หนี้ IMF) ก็ต้องมีของเสียเกิดขึ้น ของเสียบางส่วนเปลี่ยนเป็นรูปกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ผ่านทางปอดและหายใจออกไป ของเสียที่ไม่สามารถสลายเป็นก๊าซได้ เช่น อาหารที่สลายจากโปรตีน และกรดด่าง จะขับออกทางไต ฉะนั้นต้องออกทุกวัน เปรียบง่าย ๆ กับท่อน้ำเสีย ถ้าเกิดการอุดตัน บ้านาท่านคงเจิ่งนองไปด้วยน้ำเสีย สิ่งปฎิกูลต่าง ๆ (เห็นภาพพจน์นะครับ) หน้าที่ไตอื่น ๆเห่นการรักษาดุลย์ กรดด่าง, เกลือแร่ในร่างกายและสร้างฮอร์โมน กระตุ้นการสร้างเม็ดโลหิตแดง ไม่ให้โลหิตจาง

สาเหตุของไตวายเรื้อรัง มีหลายอย่าง ที่พบบ่อย ๆคือ ไตอักเสบเช่นจากโรค SLE (ลูปุส),นิ่วกไต,เบาหวาน,ความดันโลหิตสูง,เก๊าท์ที่ควบคุมไม่ดี,ยาแก้ปวดบางตัว ฯลฯ ภาวะที่ว่านี้ทำให้หน้าที่ไตเสื่อมลงเรื่อย ๆ พอลดลงถึงระดับหนึ่ง (มากกว่า 50 %) อาการไตวายก็ตจะเริ่มปรากฎ แรก ๆ จะไม่มีอาการใด ๆ อาการเริ่มต้นตั้งแต่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย วิงเวียน ซีด ๆ บวม ๆ ตามหน้า,ขา: ปัสสาวะจะผิดปกติ ไตวายบางชนิดปัสสาวะปกติ บางชนิดจะปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเลย ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นหรือสูงมากกว่าเดิม อาการปวดหลังที่ ชาวบ้านชอบกลัวว่าจะเป็นโรคไต จะพบในกรณีโรคไตวายที่เกิดจากโรคนิ่วเท่านั้น จึงสรุปว่า อาการปวดหลังอาจจะเป็นโรคไตหรือโรคอื่น ก็ได้และโรคไตวายเองก็อาจจะไม่ปวดหลังเลยก็ได้ถ้าโรคเป็นหนักเข้าก็จะหอบเหนื่อยจากภาวะน้ำเกิน,ปอดชื้น,ไอ,นอนราบไม่ได้,คลื่นไส้อาเจียน,บวมมาก. สุดท้ายหัวใจจะล้มเหลว น้ำท่วมปอดมาก หายใจเป็นฟอง อาจมีเลือดปน เกลือแร่บางตัวอาจสูงมากเช่น โปแตสเซียม ทำให้ถึงแก่กรรมได้ ถ้ารักษาไม่ทันท่วงที

การรักษาโรคไตวายเรื้อรัง ประกอบด้วย รักษาภาวะวิกฤติซึ่งจะทำให้คนไข้เสียชีวิตก่อน เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะชัก,ภาวะโปแตสเซียมเกิน เมื่อภาวะดังกล่าวบรรเทาแล้วต้องหาสาเหตุ และแก้ไข เช่น ผ่าเอานิ่วออก ,ควบคุมเบาหวาน, ความดันโลหิตให้ใกล้เคียงปกติ,รักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ถ้ารักษาโรคอันเป็นสาเหตุแล้ว หน้าที่ไตก็จะกลับฟื้นมาบางส่วน ถ้าหน้าที่ไตไม่กระเตื้องขึ้น จากการรักษาดังกล่าว วิธีการต่อไปมี 2แบบใหญ่ ๆ คือ

1. รักษาประคับประคอง โดยการควบคุมอาหาร ควรลดอาหารโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ขาว,ไปเน้นทางแป้ง,ไขมัน แทน ลดอาหารเค็ม ถ้าปัสสาวะน้อยควรลดปริมาณน้ำดื่มต่อวันด้วย,การใช้ยาหลายชนิด รวมถึงฮอร์โมนเพิ่มเลือดด้วย,และร่วมการฟอกไต(ล้างไต) ด้วยเครื่องไตเทียม ต้องยอมรับว่าการรักษาดังกล่าวมานี้ต้องทำไปตลอดชีวิต การฟอกไตก็คือการใช้เครื่องไตเทียมทำงานแทนไต โดยเอาเลือดจากตัวผ๔ป่วยเข้าเครื่องดูดของเสีย,น้ำส่วนเกินออกไป เสร็จแล้วก็ส่งเลือดกลับคืนสู่ตัวผู้ป่วยในเวลาเดียวกัน

2. การเปลี่ยนไต เป็นการรักษาที่ดีที่สุดเพราะจะทำให้โรคหายขาดเป็นปกติ (แต่) ปัจจุบัน ถึงแม้การแพทย์จะก้าวหน้ามาก การเปลี่ยนไต ก็ยังอาจมีปัญหาได้ ถ้าร่างการผู้ป่วยไม่ี่รับไตใหม่ ขั้นตอนที่สำคัญคือการคัดเลือกผู้ป่วยเพื่อรับการเปลี่ยนไตให้เหมาะสมคือ ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายจะสามารถเปลี่ยนไตได้หมด

คุยกันพอสังเขปนะครับมากไปเดี๋ยวเครียดกันเปล่า ๆ โรคทุกโรคก็เหมือนกันละครับ ถ้ารู้เร็วก็ดีไป รู้ช้า ๆ บางทีก็ลำบาก โรคบางอย่างก็ไม่แสดงอาการจนกว่าจะเป็นมากนะครับ ต้องอาศัยการตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงจะรู้ ก็ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายใจอันสมบูรณ์เข้มแข็งกันตลอด

ไขมันในเลือดสูง

ปัจจุบันคนไทยมีอายุยืนขึ้น ทำให้พบโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย ได้มากขึ้น โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคอัมพาต โรคดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่หลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis)และหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งพบได้เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น

ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำใหเกิดหลอดเลือดแข็งตัว เราสามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนี้ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะถ้าเริ่มป้องกันหรือรักษาตั้งแต่อายุประมาณ 35-40 ปี จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคอัมพาตในวัยชราได้อย่างมาก โดยทั่วไปการตรวจไขมันในเลือดจะตรวจสารต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. โคเลสเตอรอล (Cholesterol)

เป็นส่วนสำคัญของไขมันควคามหนาแน่นต่ำ โคเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง และรับจากสารอาหารที่รับประทานเข้าไป โคเลสเตอรอลเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็งตัว และตีบตัน สารโคเลสเตอรอลนี้จะมีมากในไขมันสัตว์ระดับปรกติในโลหิต ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม. และถ้าพบว่า สูงมากกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม. ควรควบคุมและะรักษา จากการศึกษา พบว่า ถ้าลดระดับโคเลสเตอรอลลงได้ 1% จะทำให้โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบลดลงถึง 2%

2. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)

ไขมันชนิดนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่รับประททนเข้าไป และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการสังเคราะห์ในร่างกาย ในคนอ้วนระดับไตรกลีเซิร์ไรด์ มักจะสูงได้บ่อย ๆ ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ไขมันตัวนี้เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ถ้าพบว่ามีระดับสูงมากหรือพบว่าสูงในคนที่มีโคเลสเตอรอลสูง เชื่อว่า โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบเพิ่มขึ้นจึงควรรักษา

3. เอชดีแอล (High Density Lipoprotain ; HDL)

เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง มีหน้าที่จับไขมัน โคเลสเตอรอล ในกระแสเลือดออกไปทำลายที่ตับ ดังนั้นถ้าระดับ HDL นี้สูง จะมีผลทำให้โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ และโรคหลอดเลือดลงโดยเฉพาะถ้าระดับ HDL สูงเกิน 50 มิลลิกรัม ต่อ ลบ.ซม. HDL จะสูงจากการออกกำลังกายและะจากยาลดไขมันบางชนิด

เมื่อท่านตรวจพบไขมันในเลือดสูง โดยระดับโคเลสเตอรอลสูงกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อ ลบ ซ

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

狗狗猩猩大冒險 02_3

สร้าง Blog ด้วย Wordpress

เขียนบล็อก กับกูเกิลบล็อก2

Introduction to e-marketing

internet ดินแดนต้องห้ามของเรื่องส่วนตัว

การใช้งานทวิตเตอร์ผ่านเว็บไซต์

เล่นเฟสบุ๊ค ยังไง

วิธีสมัครและใช้งานทวิตเตอร์ Twitter

วิธีการสร้างหน้า Fan Page

ขั้นตอนการ Upload รูปภาพลง Facebook

ทำตลาดบน...facebook ตอนที่ 2

ทำตลาดบน...facebook ตอนที่ 1

การทำการตลาดด้วยFacebook

นิยามธุรกิจเครือข่ายดีๆ

หนังสั้นธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์

กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์

สมุนไพรใกล้ตัวแก้โรคน้ำกัดเท้า-ผดผื่นคัน | ไทยโพสต์

สมุนไพรใกล้ตัวแก้โรคน้ำกัดเท้า-ผดผื่นคัน | ไทยโพสต์

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๒.

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๒.

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๑.

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๑.

เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น - เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น





งานเขียนชิ้นนี้ สิริอัญญาได้เขียนจากบันทึกคำสอนของพระลามะธิเบต ซึ่งได้แนะนำเคล็ดวิชานี้เมื่อครั้งเดินทางไปประเทศจีนเมื่อปี 2538 เป็นเคล็ดวิชาในการฝึกฝนออกกำลังกายของสมอง ประสาท และหลอดเลือด เพื่อสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งป้องกันและบำบัดโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน อัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดแตก ตีบ ตัน

             ซึ่งบางส่วนของเคล็ดวิชานี้ ปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดไพ่นกกระจอกได้นำไปใช้เป็นท่าหยิบไพ่ เปิดไพ่ และตีไพ่ ซึ่งผลวิจัยยอมรับว่าทำให้ไม่เป็นโรคภัยต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วด้วย. 

            พักนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ แทบทุกสัปดาห์มักจะได้ข่าวคราวว่ามิตรคนนั้น ญาติคนนี้มีความไข้เข้าครอบงำ และเป็นความไข้เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตกบ้าง หรือตีบบ้าง หรือขา แขนชา ไม่มีแรงบ้าง
แน่นอนว่าความไข้เหล่านั้นเป็นโรคภัยชนิด หนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต คือเมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้ว ความชราก็ครอบงำเรื่อยไปตั้งแต่เกิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตาย และระหว่างนั้นก็อาจมีความเจ็บป่วยหรือพยาธิเข้าแทรก ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีก

เป็นธรรมดาของชีวิตที่ชรา และพยาธิต้องครอบงำ เพราะทั้งสองอย่างนี้คืออุ้งหัตถ์ของมัจจุราชที่จะมาคร่าชีวิตไปสู่ความตาย ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้เลย

แต่ เมื่อทุกคนจะต้องตายแล้วก็ควรที่จะหาทางตายให้สบาย ๆ สักหน่อย ให้มีความทุกข์ทรมานน้อยสักหน่อย โดยเฉพาะความป่วยไข้หรือพยาธิที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขา อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรงหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั้น ทำให้ตายอย่างทรมานและทำให้ผู้คนในครอบครัวเดือดร้อนมากและน้อยตามเวลาที่ ต้องรักษาพยาบาล
           ยกเว้นก็แต่เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตกแล้วตายไปเลยก็ตายสบายหน่อย เดือดร้อนวุ่นวายน้อยสักหน่อย และผลาญทรัพย์สมบัติน้อยลงหน่อย
           วันนี้จึงจำเป็นที่จะต้องแสดงเรื่องวิชาบางเรื่องที่พอป้องกันแก้ไขหรือ เยียวยาพยาธิหรือความป่วยไข้ที่เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตก ตีบ ตัน หรือแขน ขาไร้เรี่ยวแรงหรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้ ขอท่านทั้งหลายได้สนใจศึกษาพิจารณาและลองฝึกฝนปฏิบัติดู เพราะไม่เสียเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลย
           จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองศึกษาพิจารณาทำความเข้าใจและฝึกฝนดูก่อนก็ได้ ไม่เสียหายอะไรเลย คิดเสียว่าลองของเล่นสนุก ๆ เพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจก็ได้ แต่ถ้าได้มรรคผลขึ้นมาก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพชนิดที่น่าพิศวงทีเดียว
           เป็นผลดีต่อการป้องกันแก้ไขหรือเยียวยาความป่วยไข้หรือพยาธิที่ว่ามาข้างต้น นี้ได้ แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญโขและคุ้มค่ายิ่งแล้ว
           หลักวิชาที่ว่านี้มีชื่อว่า “เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาโบราณคล้าย ๆ กับหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเส้าหลิน แต่ต่างกันตรงที่มุ่งบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ประสาท และเส้นเอ็น และเนื้อแท้ก็คือการออกกำลังชนิดหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเป็นการออกกำลังจากภายใน ทำนองที่หนังสือกำลังภายในเรียกว่าเดินพลังปราณนั่นเอง
           เรารู้จักกันแต่การออกกำลังกายซึ่งเป็นเรื่องของภายนอก ไม่ว่าการวิ่ง การจ็อกกิ้ง การเล่นฟิตเนส การว่ายน้ำ หรืออะไรในทำนองเดียวกันนี้ ล้วนแต่เป็นการออกกำลังกายภายนอกทั้งนั้น
           ในส่วนภายในคือหัวใจ ตับ ไต ปอด ม้าม เส้นเลือดต่าง ๆ และเส้นประสาทต่าง ๆ ไม่ได้ออกกำลังกายตามไปด้วย หรือถ้ามีการขยับขับเคลื่อนบ้างก็เป็นผลต่อเนื่องและบางครั้งก็ได้รับ อันตรายด้วยซ้ำไป
           การออกกำลังจากภายในนั้นเป็นหลักวิชาที่มีมานับพัน ๆ ปี แต่น่าเสียดายที่ไม่แพร่หลายเข้ามายังบ้านเมืองของเรา เพราะถูกอิทธิพลหลักวิชาทางตะวันตกปิดกั้นครอบคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น อย่างมากจึงได้แค่อ่านจากหนังสือกำลังภายในแล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันเป็น อย่างไร หรือไม่ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝันเท่านั้น
           ความจริงมันมีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้แล้วก็รีบชิงปฏิเสธเสีย แล้วถือว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มี ทั้งๆ ที่สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีมากกว่าสิ่งที่รู้สุดจะประมาณนัก
           การป่วยไข้เพราะเหตุเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขาอ่อนกำลัง หรือที่เรียกว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตนั้นเป็นความป่วยไข้ที่มีเถือกเถาเหล่ากอเดียวกัน คือเกิดจากเส้นเลือดหรือหลอดเลือดหรือท่อเลือดโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ สมองหรือส่วนที่เชื่อมใกล้ชิดกับสมองและยังเชื่อมโยงกับเส้นประสาทต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อจากสมองไปยังมือไม้ แขนขา
           ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความแก่ก็ติดตามมาควบคู่กัน ยิ่งกินอาหาร ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ทำให้อายุขัยสั้นลง ไม่ว่าการกินของมันมาก ๆ การพักผ่อนน้อย ๆ การดื่มของเมามาก ๆ หรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไร ๆ มาก ๆ ไม่รู้จักปล่อยปละละวาง ก็จะทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาททั้งหลายเปราะบาง ตีบแคบ หรือมีการอุดตันขึ้น
           ไม่ต้องดูอะไรมาก ให้ดูจากท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกบ้านเรือนก็ได้ พอใช้ไป 2 ปี 3 ปี ก็มีความเกรอะกรัง ทำให้ท่อตีบตันและแตก ฉันใด เส้นเลือดและเส้นประสาทในร่างกายนี้ก็เป็นฉันนั้นไม่ต่างกันเลย
           ท่อประปานั้นมันชำระสะสางความตีบความตันและความเกรอะกรังด้วยตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนไปชำระชะล้าง ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม หรือเมื่อชำรุดหนักก็เปลี่ยนใหม่ไปเสียเลย
           นั่นขนาดเป็นวัตถุที่คงทนก็ใช้ได้ไม่กี่ปี แต่ร่างกายของมนุษย์เรานี้วิเศษนัก เส้นเลือด เส้นประสาทที่เป็นแค่เนื้อเยื่อ ยืดหยุ่น บอบบาง แต่อยู่กับร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย อาจจะอยู่ได้นานที่สุดถึงกัปหรือ 120 ปีด้วยซ้ำไป จึงนับว่าเป็นส่วนอวัยวะที่แข็งแรงทนทานอย่างยิ่งจนน่าพิศวง
           ความจริงทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความตายสลายไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน เป็นแต่ว่าเราแทบไม่รู้เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เซลล์ต่างๆ ย่อมแก่ตัว ย่อมตายไปและหลุดออกไป แล้วมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นแทนที่เป็นลำดับ ๆ ไป จนกระทั่งเมื่ออายุขัยล่วงไปมาก ๆ เข้าเซลล์ใหม่ก็เกิดน้อยลง แข็งแรงน้อยลง แล้วทำให้อ่อนแอลงโดยลำดับ กระทั่งตาย
           นอกจากนั้น คนเรายังมีวิธีการเอาสิ่งเกรอะกรังหรือทำให้ความตีบตันบรรเทาลงหรือหายไปได้ ไม่ว่าด้วยการใช้ยาหรือด้วยการประพฤติปฏิบัติตนบางประการ ในที่นี้ไม่พูดถึงการใช้ยา แต่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติตน
           เป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่มีหลักวิชาสืบเนื่องมานับพันปีแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น แต่ไม่ใช่วิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นโดยตรง เป็นวิชาที่นักบวชในศาสนาพุทธนิกายมหายานใช้กันโดยทั่วไป

           บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายในหรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง แต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก
           ดังนั้นหลักวิชาที่ว่านี้คือการประพฤติปฏิบัติตนด้วยตนเอง ทำแทนกันไม่ได้ ใช้เวลาไม่มาก แต่ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะสัมฤทธิผลเป็นแน่นอน
           เริ่มต้นกันที่เวลาประพฤติปฏิบัติตนตามหลักวิชานี้ก่อน ให้เริ่มทำครั้งแรกตอนตื่นนอน คือไม่ว่าจะตื่นนอนเวลาไหนก็ประพฤติปฏิบัติไป ใช้เวลาสัก 10 นาที หรือ 15 นาที หรืออย่างน้อยแค่ 5 นาทีก็ได้ สุดแท้แต่ความจำเป็นหรือความสามารถจะปฏิบัติได้
           การประพฤติปฏิบัติเมื่อตื่นนอนนั้น ขณะนี้สอดคล้องกับหลักวิชาทางตะวันตกแล้ว เพราะผลการวิจัยทางการแพทย์แผนตะวันตกนั้นพบว่าคนเราตายในเวลากลางคืนถึง 70% ตายในเวลากลางวันแค่ 30%
           ปมเงื่อนของมันคือ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลานอนนั้นมีมากกว่าเวลา กลางวัน เพราะเมื่อคนเรานอนหลับ น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำ การทำงานของสมองก็ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น คือเหลือเฉพาะส่วนที่เรียกว่าระบบควบคุมสำรองหรือระบบ stand by ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่อวัยวะสำคัญ ๆ อื่นก็จะพักหรือแทบจะหยุดทำงาน
           ครั้นตื่นขึ้นร่างกายปรับสู่ภาวะปกติ หากลุกขึ้นทันทีก็อาจรองรับกับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน และเป็นเหตุให้หลายคนเส้นเลือดในสมองแตกหรือล้มลงหลังจากผุดลุกในทันทีทันใด ที่ตื่น
           ดังนั้นการเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติในทันทีที่ตื่นนอน โดยทำบนที่นอนนั้นจึงเท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแตกหลังตื่นนอน ได้อย่างมีผลยิ่ง และทำให้ร่างกายปรับสภาพจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างค่อย เป็นค่อยไป ยิ่งเป็นคนมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปแล้ว การปรับสภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้คือการป้องกันอันตรายจากการตายแบบฉับพลัน ทันทีได้อีกด้วย
           ดังนั้นจึงพึงตั้งใจเอาไว้ว่าทันทีที่รู้สึกตัวตื่นก็ให้นอนอยู่นิ่ง ๆ ก่อน อย่าเพิ่งผุดลุกผุดนั่งไปไหน เตรียมกาย เตรียมใจที่จะฝึกวิชาที่ว่านี้
           ระยะเวลาที่ฝึกฝนปฏิบัติ ถ้าจะให้ได้ผลดีก็อยู่ระหว่าง 15-20 นาที แต่ถ้าจำเป็นหรือมีภารกิจเร่งด่วนก็ควรทำอย่างน้อยสัก 5 นาที ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ก็จะเห็นผลชัดว่าเมื่อลุกขึ้นก็จะลุกขึ้นอย่างสะดวก สบาย แคล่วคล่อง ว่องไวและมีความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น นั่นเพราะร่างกายมีความพร้อม และได้ปรับสภาพจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างเต็มที่แล้ว
           อยากจะรับรองว่าถ้าทำได้ทุกวัน ๆ ละ 20 นาทีก็จะมีชีวิตยืนยาวอย่างน้อย 80 ปี โดยไม่มีวันที่เส้นเลือดในสมองจะแตกหรือตีบหรือตัน ไม่มีวันที่จะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตเป็นอันขาด หรือถ้าใครเป็นและถ้าฝืนใจกล้ำกลืนปฏิบัติตนให้ได้ ไม่ช้าไม่นานเกิน 6 เดือนดอกก็จะได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่มีความเป็นปกติสุขมากขึ้น
           การปฏิบัติตามหลักวิชานี้ใช้เพียงแค่ฝ่ามือทั้งสองและฝ่าเท้าทั้งสองเท่า นั้น โดยเวลาเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติ ให้นอนหงาย เหยียดเท้าทั้งสองตรง และทอดมือทั้งสองไว้ข้างลำตัวในลักษณะตรง หงายมือทั้งสองขึ้น
           เมื่อนอนนิ่งในลักษณะที่ยืดแขน ขาให้ตรง พร้อมกับหงายฝ่ามือทั้งสองดังกล่าวแล้ว ก็ให้ลองเกร็งแขนทั้งสองก่อนแล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปถึงฝ่ามือทั้งสอง เพิ่มความเกร็งขึ้นเหมือนกับการถือลูกน้ำหนักไว้ในมือ เคลื่อนการเกร็งไปมาสัก 2-3 ครั้ง
           ถัดจากนั้นก็ลองเกร็งขาในลักษณะเดียวกัน คือเกร็งจากโคนขาไปก่อนถึงหัวเข่า ถึงหน้าแข้ง ถึงตาตุ่ม และเท้าทั้งสอง เคลื่อนการเกร็งจนสุดปลายนิ้วเท้าแล้วเคลื่อนกลับทวนขึ้นมา
           ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา แล้วย้อนลงไป เพียงเท่านี้ก็เท่ากับได้ลองกำลังหรือพลังจากภายในกายนี้แล้ว อาจจะรู้สึกเหนื่อยบ้างก็เป็นธรรมดา ซึ่งต้องตระหนักรู้ว่าการเคลื่อนพลังภายในนั้นแม้ใช้เวลาอันน้อยอันสั้น แต่ความเหนื่อยจะเหมือนกับการออกกำลังกายภายนอกมาก ๆ นั่นเอง
           เมื่อพูดถึงเวลาเริ่มต้นการปฏิบัติ ระยะเวลาที่ใช้และการเตรียมดังกล่าวแล้วก็มาถึงกระบวนท่าที่จะฝึกหรือ ปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่ 3 กระบวนท่าง่ายๆ ไม่ยากไม่ลำบากเลย
           กระบวนท่าแรก มีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ”
           กระบวนท่าที่สอง มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
           กระบวนท่าที่สาม มีชื่อเรียกว่า “กรายเล็บกรีดพิณ”. 
  กระบวน ท่าแรกที่มีชื่อว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” นั้น จะต้องทำความเข้าใจถึงที่มาก่อน คือลักษณะของนกอินทรีขยุ้มเหยื่อ หรือเหยี่ยวขยุ้มเหยื่อก็ได้ ว่าประสาททั้งหลายกับกรงเล็บนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร 
            ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยอรรถคดีก็มีบัญญัติว่า ผู้พิพากษาซึ่งจะพิจารณาตัดสินคดีนั้นจะต้องเล็งสายตาและปัญญาสอดส่อง ประเด็นอันพิพาททั้งปวง ตลอดจนข้ออ้างข้อเถียงและพยานหลักฐาน แม่นยำแล้วจึงถลาลงโฉบเอาเหยื่อนั้นไป
            แม้ ในธรรมชาติที่เป็นจริงของอินทรีหรือเหยี่ยวที่จะจับเหยื่อเป็นอาหาร ย่อมบินอยู่ในที่สูง สำรวมประสาททั้งกายให้มีความพร้อมสูงสุด เพ่งสายตาเล็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกันก็ลู่กรงเล็บแล้วถลาลงไปที่เหยื่ออย่างรวดเร็ว พอได้ระยะอันเหมาะก็กางกรงเล็บอันคมกริบนั้นตะครุบเอาเหยื่ออย่างหนักหน่วง แม่นยำ แล้วโฉบขึ้นไปบนอากาศ
            แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประสาทภายในกับส่วนสมอง และบัญชาการมายังปีก หาง และกรงเล็บ ในขณะเข้าโจมตีก็ลู่กรงเล็บลงเพื่อไม่ให้ปะทะกับอากาศ ครั้นได้ระยะอันเหมาะก็ขยายกรงเล็บและเดินพลังอย่างหนักหน่วง ถลาลงโจมตีเอากรงเล็บขยุ้มจับเหยื่อถลาขึ้นไปบนอากาศ
            ธรรมชาติเป็นเช่นนั้น โบราณาจารย์ทั้งหลายแม้ในวิชาพระธรรมศาสตร์ก็ได้เห็นและเข้าใจธรรมชาตินี้ โบราณาจารย์ทางด้านกำลังภายในก็รู้และเข้าใจในธรรมชาตินี้ จึงปรับแปรมาใช้เป็นกระบวนท่าแรก
            เมื่อ เข้าใจธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างสมอง ประสาท การบังคับร่างกายเคลื่อนพลังปราณ การขยับนิ้วทั้งมือและเท้าดังนี้แล้ว ก็จะรู้และเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานแห่งวิชาพลังภายในกระบวนท่านี้
            จากนี้ไปก็จะเป็นการเริ่มปฏิบัติหรือฝึกปฏิบัติในกระบวนท่าที่หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” 
            เริ่มต้นด้วยการยกมือทั้งสองข้างที่วางราบตรงไว้ข้างลำตัวขึ้นมาไว้ใน ลักษณะตั้งฉากกับลำตัว ข้อศอกชิดลำตัวและติดกับพื้น ตอนที่ยกมือขึ้นมาให้หุบนิ้วทั้งห้า เอาปลายนิ้วจรดกัน แล้วค่อย ๆ เกร็งแขนจากแขนท่อนบนขึ้นไปยังแขนท่อนล่าง ขึ้นไปที่มือและปลายนิ้วทั้งห้า แล้วขยับเคลื่อนการเกร็งโดยลำดับอีกครั้งหนึ่ง ลงไปยังจุดเดิม แล้วเคลื่อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
            ขั้นที่สอง ให้อ้านิ้วทั้งห้าออกในลักษณะกางนิ้ว แล้วงุ้มนิ้วเข้ามาประดุจดังกรงเล็บอินทรี และเกร็งพลังไว้ที่นิ้วทั้งห้า จากนั้นก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้าจนปลายนิ้วทั้งหมดจรดที่ฝ่ามือ
            ขั้นที่สาม คลายนิ้วที่จรดจรดอยู่ที่ฝ่ามือ แล้วค่อย ๆ กางออกไปยังลักษณะแบมือ
            เมื่อกระทำในขั้นที่สามแล้วก็กลับไปเริ่มขั้นที่หนึ่ง สอง และสามใหม่ กระทำเช่นนี้สัก 5 นาที ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกร็งพลังที่โคนขา เคลื่อนไปยังหน้าแข้ง เท้า และปลายนิ้วเท้า ในลักษณะอย่างเดียวกัน แต่คงไม่เหมือนกันแน่เพราะนิ้วเท้าสั้น ไม่อาจกระทำในลักษณะงอแบบขยุ้มได้ ก็ให้กระทำและเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันก็เป็นอันใช้ได้ 
            เมื่อขยับมือและเท้าดังกล่าวแล้ว จากนั้นก็ให้กระทำพร้อมกันทั้งมือและเท้าอีกสัก 5 นาที
            ใน ระหว่างปฏิบัตินั้น อาจจะได้ยินเสียงเส้นเอ็นและข้อกระดูกลั่นดังกรุ๊บกรั๊บ หรือกร๊อบแกร๊บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็อย่าได้ตกใจประการใด ให้สังเกตเสียงดังนั้นให้จงดี
            ถ้าลักษณะของเสียงดังกรุ่บกรุ่บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ ยังมีความเป็นปกติดีเป็นส่วนใหญ่ แต่เส้นเอ็นและพังผืดเริ่มจะติดยึดกันบ้างแล้ว การปฏิบัติเช่นนี้จะส่งผลในภายหน้าให้การติดยึดของเอ็นและพังผืดค่อย ๆ คลายตัว จนมีความเป็นปกติในที่สุด
            ถ้าเสียงดังกร๊อบกร๊อบ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ เริ่มติดยึดหรือติดขัดหรือเกิดความไม่สะดวกขึ้นแล้ว อันเป็นอาการเริ่มต้นของโรครูมาตอยหรือโรคไขข้อ หรือสภาพที่กระดูกเสื่อมไปเพราะอายุขัยที่ล่วงไปก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้อาหารเข้าช่วยบ้าง คือกินอาหารจำพวกที่มีแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้น เพื่อบำรุงกระดูกให้สมบูรณ์แข็งแรง
            แต่ถ้าเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ก็แสดงว่ากระดูกข้อต่างๆ เริ่มบางลง ซึ่งมีมาแต่เหตุสองสถาน คือเพราะความแก่ชราอย่างหนึ่ง หรือเพราะโรคข้อกระดูกที่ทำให้ไขกระดูกไม่สมบูรณ์ เปราะบาง จึงเกิดเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อบำรุงกระดูกอย่างจริงจังให้มาก ขึ้น
            แต่พึงระวังว่ายาบำรุงกระดูกทุกชนิดมีผลข้างเคียงมาก อาจเกิดโรคกระเพาะ ลำไส้ หรือแพ้ยาจนตายไปเลยก็ได้ และถ้าตัดใจได้ว่าจะเยียวยาโดยวิถีธรรมชาติก็หมั่นกินอาหารที่บำรุงกระดูก ดื่มน้ำสะอาด หรือปฏิบัติตนโดยการดื่มน้ำ 5 แก้วก็จะยิ่งได้ผลดี เห็นทีจะฟื้นฟูให้ดีได้ หรืออย่างร้ายอาการก็จะไม่ทรุดในระดับเดิม
            ระยะ เวลาปฏิบัติ 5 นาทีหรือ 10 นาทีในท่านี้ ให้สังเกตดูโดยแยบคายก็จะพบว่าอาการตึงหรือความเครียดหรือความติดขัดบริเวณ ต้นคอหรืออาการปวดบริเวณศีรษะจะเหมือนมีอะไรมากระตุ้นปรี๊ดปรี๊ด หรือจี๊ดจี๊ด สักครู่หนึ่งก็จะค่อยบรรเทาเบาลงไป
            ในกรณีรู้สึกปวดจี๊ดที่ศีรษะ แสดงว่าการเกร็งกำลังอาจจะมากเกินไป ดังนั้นในระยะต้นก็ให้ผ่อนการเกร็งลงมาสักหน่อยหนึ่ง อาการปวดจี๊ดที่ศีรษะก็จะบรรเทาลง จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มพลังขึ้นโดยสอดคล้องกับความรู้สึกเจ็บจี๊ดจี๊ดที่น้อยลงนั้น 
            หากมีอาการเช่นนี้ก็จงรู้เถิดว่ามันมีอะไรมาอุดหรือเกรอะในท่อหรือเส้น เลือดในบริเวณสมองแล้ว แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจ เพราะนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าพลังที่ขับเคลื่อนไหนั้นเริ่มกระตุ้นให้สิ่ง ที่ติดขัดหรือเกรอะกรังหรือตีบตันค่อยๆ ทะลุทะลวงเป็นลำดับ ๆ ไป
            เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็อย่าเป็นคนใจร้อนด่วนหาย เพราะความใจร้อนนั้นไม่เป็นคุณประโยชน์อันใดเลย ทำความเข้าใจเสียว่ายังมีเวลาอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องรีบต้องร้อน ถ้านึกสนุก ๆ ก็นึกเสียว่าเราจะปฏิบัติรักษาตัวแบบนี้ไปสัก 50-60 ปีก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะมีความหมายอยู่ในตัวว่าจะยังไม่ตายใน 50-60 ปีนี้ นี่เป็นเรื่องกล่าวสนุก ๆ เล่น ๆ เพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกปฏิบัติเท่านั้น
            เพียง ไม่ถึง 5 นาทีที่ปฏิบัติก็จะรู้สึกเหนื่อย บางครั้งก็มีเหงื่อออก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอวัยวะภายในได้รับการออกกำลังด้วยวิธีการเดิน พลัง ซึ่งเป็นทำนองเดียวกับการออกกำลังภายนอก
            เป็นแต่ว่าการออกกำลังในภายในนี้มันมีผลกระทบและเกิดโดยตรงขึ้นกับหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง และประสาททั้งมวล ดังนั้นแม้แค่เวลา 5 นาทีก็มีผลไม่ต่างกับการ จ็อคกิ้งหรือวิ่งรอบสนาม 30 นาทีเลย
            เริ่มต้นทำได้อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี ย่อมมีผลมาก เมื่อหมั่นทำทุกวันเข้าก็จะได้รับผลและอานิสงส์ของการปฏิบัติตนเป็นลำดับ ๆ ไป จนในที่สุดสิ่งที่เคล็ดขัดยอดหรือติดขัดในกาย หรือสิ่งที่ตีบตันเกรอะกรังอยู่ในประสาทหรือเส้นเลือดหรือท่อเลือดต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ สร่างหายไปจนเป็นปกติ
            การปฏิบัติอย่างนี้มีเป้าหมายทำให้กายนี้มีความเป็นปกติตามสภาพที่พึงเป็น เพราะถึงเป็นวิชาที่ล้ำเลิศประการใดก็ไม่อาจล่วงพ้นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ได้ คือไม่อาจห้ามหรือหนีความชราไปได้เลย แต่ว่าให้มันช้าสักหน่อย จนอายุค่อย ๆ เคลื่อนไปใกล้กัปหรือถึงกัปนั่นแล
            ไม่เกินเดือนหรือ 45 วันดอก ก็จะรู้สึกว่าร่างกายมีความเบา มีความคล่องตัว หูตา การเคลื่อนไหวฉับไวขึ้น แม่นยำขึ้น อาการปวดศีรษะหากเคยเป็นก็จะหายไป อาการติดขัดตามคอ ตามไหล่ แขน ขา หรือเท้าก็จะหายไป นี่เรียกว่าได้นำพากายนี้ให้ถึงซึ่งความเป็นปกติแล้ว
            แต่ เท่านั้นก็ยังคงไม่พอ สำหรับผู้ที่มีความปรารถนาให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้นก็ปฏิบัติให้สูงขึ้น ได้อีก ทำนองเดียวกับหลักปฏิบัติในวิชาพลังเอกธาตุ คือหลอมกาย ใจ และปราณ ให้เป็นหนึ่งเดียว
            หมายความว่าเมื่อฝึกฝนและปฏิบัติจนมีความชำนาญ ร่างกายเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว ก็ใช้โอกาสนั้นฝึกปราณและฝึกใจในระดับที่สูงขึ้นไปด้วย ก็จะได้รับอานิสงส์อันประเสริฐ สมกับที่ได้เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์
            เริ่มต้นด้วยการประสานกายกับปราณก่อน นั่นคือเมื่อขยายนิ้วมือออกก็ให้หายใจออกให้หมดปอด เวลาขยุ้มนิ้วมือก็ให้หายใจเข้าให้เต็มปอด พยายามรักษาความสม่ำเสมอของระยะการขยายหรือการขยุ้มมือกับระยะการหายใจให้ สอดคล้องต้องกัน
            หายใจออกหมดปอดเมื่อใด นิ้วมือก็กางขยายเต็มที่เมื่อนั้น 
            หายใจเข้าเต็มปอดเมื่อใด นิ้วมือก็ขยุ้มเข้ามาจนจรดฝ่ามือเมื่อนั้น
            นี่คือหลักการประสานกายและปราณให้เป็นเอกภาพ ตามหลักวิชาพลังเอกธาตุ
            จากนั้นก็ผนึกจิตหรือใจกับกายและปราณให้เป็นเอกภาพต่อไป โดยสละละวางความนึกคิดทั้งปวงเสีย หันมาสนใจเพ่งเล็งอยู่ที่ปลายนิ้วมือหรือที่ปลายจมูกก็ได้เพียงจุดเดียวตลอด ระยะเวลาที่หายใจออกและหายใจเข้า
            ฝึกฝนจนชำนาญก็จะเกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเอกภาพระหว่างกาย ใจ และปราณ ซึ่งก็คือการบรรลุถึงขั้นสูงประการหนึ่งในการฝึกพลังเอกธาตุด้วย 
            ต่อไปก็จะเป็นกระบวนท่าที่สอง ที่มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
            การเลียนแบบธรรมชาติของสัตว์โดยเฉพาะเสือนั้นมีมาช้านานและถูกนำไปใช้ใน หลักวิชาหลายแขนง ดังเช่นในตำราพิชัยสงครามก็มีวิธีจัดตั้งค่ายและวางรี้พลในลักษณะท่าทางของ เสือ ในการฝึกวิชายุทธ์ของสำนักเส้าหลินและอีกหลายสำนักก็ใช้กริยาอาการตาม ธรรมชาติของเสือมาเป็นพื้นฐานการฝึกฝน
            การฝึกฝนปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองนี้ก็มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติประการหนึ่ง ของเสือ คือเป็นปกติของสัตว์ทั้งหลายที่มักจะมีสัตว์เล็ก ๆ เบียดเบียน เช่น เห็บ เหาหรือหมัด ซึ่งจะเกาะอาศัยอยู่ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วกัดกินดูดเลือดของเสือ ทำให้เกิดความรำคาญ เป็นที่มาแห่งโรค และบางครั้งก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ความตายได้ด้วย
            กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ” ก็คือการนำพื้นฐานจากการที่เสือใช้อุ้งตีนบดขยี้บี้เห็บ เหา หรือหมัดนั่นเอง 

  


โรคอ้วน...ปัญหาใหม่ของคนไทย

โรคอ้วน...ปัญหาใหม่ของคนไทย

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ

ลำนำชีวิตของทุกคน

ลำนำชีวิตของทุกคน

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

mony.flv

VTS 04 1

VTS 05 1

VTS_01_1.flv

VTS_01_1.flv

r 03-04-53.mp4

เงินสี่ด้าน

มโชคดีที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้
หลังจากยืนอ่านที่ร้านหนังสือ
ถูกใจจนคิดว่าทนไม่ไหว เลยซื้อเก็บไว้ดีกว่า
แนวทางความคิดของหนังสือเล่มนี้
ไม่ได้สั่นสะเทือนความคิดของผมไปจากเดิมมากนัก
แต่กลับมีพลังอย่าง ล้นเหลือ
ในการช่วยยืนยันแนวคิด แนวทางการทำงานที่ผ่านมา
เป็นทั้งประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งในชีวิต
และจะยังเป็นอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะมาถึง

"เงินสี่ด้าน" เป็นหนังสือซีรีส์เดียวกันกับ "พ่อรวยสอนลูก"
ผู้เขียนเป็นคุณ โรเบิร์ต คิโยซากิ คนเดียวกัน
แก่นของเรื่อง คือ การพยายามอธิบายความหมาย
และการเดินทางข้ามฟากสะพาน
จากด้านซ้าย ( E S ) ไปยังด้านขวา ( B I )
ของเงินสี่ด้าน
ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานสู่ "อิสรภาพทางการเงิน"

E B
S I

E (Employee) - ลูกจ้าง
S (Self-employed) - คนทำธุรกิจส่วนตัว
B (Business Owner) - เจ้าของกิจการ
I (Investor) - นักลงทุน

สรุปโดยย่อ ให้ฟังกันสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ

E (Employee) - ลูกจ้าง
ถือคำว่า "มั่นคง" "ผลประโยชน์" เป็นสำคัญ

ความคิด และ คำพูดของ "ลูกจ้าง" - "ฉันอยากได้งานที่มั่นคง เงินเดือนดีๆ หรือถ้ามีโบนัสให้ มีสวัสดิการดี หลักประกันค่ารักษาพยาบาลครบยิ่งดี ฯลฯ หรือถ้ามีโอกาสเลือกได้ เลือกเป็นบริษัทใหญ่ๆ หรือ องค์กรใหญ่ๆ บริษัทต่างชาติ ที่มีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า จะดีกว่า "


S (Self-employed) - คนทำธุรกิจส่วนตัว
คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในประเภท "ฉันทำเอง" ไม่ชอบขึ้นกับใคร เมื่อทำงานหนัก ก็หวังจะได้รับค่าตอบแทนคุ้มกับงานนั้นๆ ไม่ต้องการให้ใครมาควบคุมรายได้ของตัว โดยเฉพาะจากคนที่ทำงานน้อยกว่า
ขณะ ที่ "ลูกจ้าง" กำจัดความกลัวด้วยความ "มั่นคง" "คนทำธุรกิจส่วนตัว" มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แทนที่จะวิ่งหาความมั่นคง พวกเขาจะพยายามควบคุมสถานการณ์โดยทำทุกอย่างด้วยตนเอง
"คนทำธุรกิจส่วนตัว" มักจะเป็นพวกที่ชอบให้ทุกอย่างดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด เขาเชื่อว่าไม่มีใครทำได้ดีเท่า เพราะฉะนั้นเขาจึงชอบทำอะไรด้วยตนเอง
สำหรับคนกลุ่มนี้ เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงาน แต่เป็นการมีอิสระในวิธีทำงาน และการที่มีคนนับถือฝีมือของเขา สองอย่างนี้สำคัญมากยิ่งกว่าเงินที่ได้

ความคิด และ คำพูดของ "คนทำธุรกิจส่วนตัว" - "เดือนเมษาปีที่แล้วผมทำกำไรได้มากกว่า 80,000 บาท รวมยอดทั้งปีของปีที่แล้วน่าจะได้มากกว่า 550,000 บาทขึ้นไป แล้วปีนี้น่าจะโตขึ้นไปอีก ค่าเฉลี่ยผลกำไรที่ผมหวังไว้ไม่มากเกินความเป็นจริงนักน่าจะอยู่ที่มากกว่า 55000/เดือน"


B (Business Owner) - เจ้าของกิจการ
เกือบจะตรงกันข้ามกับพวก "คนทำธุรกิจส่วนตัว" เลยทีเดียว เพราะ "คนทำธุรกิจส่วนตัว" หรือ กลุ่ม "ฉันทำเอง" ไม่ชอบมอบหมายงานให้คนอื่นเพราะไม่มีใครทำได้ดีเท่าเขา แต่ "เจ้าของกิจการ" จะเที่ยวหาคนเก่งคนมีความสามารถมาร่วมงาน โดยมีคติประจำใจ "จะทำเองไปทำไมในเมื่อมีคนอื่นทำได้และดีกว่าเสียด้วย"

ความคิด และ คำพูดของ "เจ้าของกิจการ" - "ผมอยากได้พนักงานที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสดี มีใจบริการ รักการเรียนรู้ และซื่อสัตย์ มาลงที่สาขาใหม่ซักสามคน พอดีตอนนี้ ผมได้คุยกับว่าที่ผู้จัดการร้านคนใหม่แล้ว ดูหน่วยก้านประสบการณ์เค้าโอเคดีเลย ว่าจะให้มาคุมที่สาขาใหม่ของเรา "


I (Investor) - นักลงทุน
นักลงทุนใช้เงินทำงาน เขาจึงไม่ต้องทำงานเพราะใช้เงินทำงานแทน หรือ การใช้เงินทำเงิน นั่นเอง

ความคิด และ คำพูดของ "นักลงทุน" - "กล้องแคนนอน 450D ตัวนี้ผมได้จากการออมเงินลงทุนทองคำเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว "

เข้าใจง่ายๆ คือ

ลูกจ้าง - ทำงานให้ระบบ
คนทำธุรกิจส่วนตัว - คือระบบ
เจ้าของกิจการ - เป็นเจ้าของระบบ
นักลงทุน - นำเงินมาลงทุนในระบบ

และถ้าเราอยากจะย้ายจากด้านซ้าย (E S) มาอยู่ด้านขวา (B I) ของเงินสี่ด้าน จะต้องทำอะไรบ้าง
คำตอบ ไม่ใช่การกระทำที่ต้องเปลี่ยน
แต่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อวิธีคิดเราเปลี่ยน การกระทำเราจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเองนะจ๊ะ :) .

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เตือนภัยระวังกรุงเทพฯจมบาดาล(3).wmv

เตือนภัยระวังกรุงเทพฯจมบาดาล(2).wmv

บอกเก้า เล่าสิบ-โหรทายภัยพิบัติ 25 oct.10

อีก 10 ปี น้ำท่วมกรุงเทพ 20 Dec.10

อีก 10 ปี น้ำท่วมกรุงเทพ 20 Dec.10

น้ำท่วมกรุงเทพ

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะร่วมสมัย-สุขอยู่ที่ทนทุกข์ได้

ไม่ยอมหมดหวัง - เจนนิเฟอร์ คิ้ม

Live and Learn กมลา สุโกศล

นาทีที่ยิ่งใหญ่ - คริสติน่า

มองแต่แง่ดีเถิด

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

สุขใจสุขกาย

ชีวิตไม่สามารถขีดเส้นใต้แล้วเดินตามได้ แต่ชีวิตต้องก้าวเดินไปข้างหน้า ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างไม่สิ้นสุด ทำให้คนเราต้องเผชิญกับความสุข และความทุกข์คละเคล้ากันไป สู้บ้างท้อบ้าง ความพยายามจะเกิดขึ้นเมื่อเราท้อ เราท้อเมื่อเราผิดหวัง และเมื่อเราไม่ตั้งความหวัง เราก็จะไม่ผิดหวังเช่นกัน นี้แหละคือรสชาติของชีวิตที่ทุกคนหนีไม่พ้น ไม่ว่าเราจะเดินทางไกลสักเพียงใด จะผ่านหลายร้อยหุบเขาหรือข้ามหลายพันสะพานสุดท้ายแล้วถนนก็มีแค่สองโค้งคือโค้งขวาและโค้งซ้าย
แต่ละคนก็มีเหตุผลในการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือทุกคนต้องการมีความสุขในชีวิต ซึ่งความสุขในที่นี้ยากนักที่จะนิยามให้ความหมายอย่างชัดเจน แต่สามารถกำหนดกรอบแห่งการดำเนินชีวิตให้มีความสุขได้ดังนี้
1. ค้นหาและทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของตนเอง คนเราต้องรู้ว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไรกันแน่ ต้องรู้ความรู้สึกอย่างแท้จริงไม่ใช่หลอกตัวเอง หรือเป็นการสร้างภาพโดยปราศจากความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง และ เราต้องนิยามความหมายของความสุขในความต้องการของเราว่าความสุขคืออะไร โดยต้องนิยามบนพื้นฐานความเป็นตัวตนของเราเอง ถือเป็นการกำหนด เป้าหมายแห่งความสุข
2. จัดการกับความกลัว หรือจัดการกับทัศนคติทางลบ กลัวชีวิตไม่มีความสุข เป็นการเปลี่ยนความคิดเปิดมุมมองในทางบวก สร้างทัศนคติที่ดีต่อ การดำเนินชีวิต เราต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามธรรมชาติ แสดง ความเป็นตัวตนของตัวเอง และมีความเหมาะสมกับตนเอง มีความจริงใจกับทุกๆ คน และไม่ต้องกลัวความผิดหวัง หรืออุปสรรค นั่นคือ คนที่คิดบวกคือ คนที่กำลังเผชิญกับความสุข
3. สร้างแรงกระตุ้น เพิ่มความกระชุ่มกระชวยในการดำเนินชีวิต บางครั้งชีวิตก็ต้องมีความตื่นเต้นบ้าง นำอุปสรรคหรือปัญหามาเป็นตัวสร้างแรงกระตุ้น เพราะปัญหามีไว้แก้ ไม่ใช่มีไว้หนี ทุกปัญหามีทางแก้ หากใช้สติไตร่ตรอง อย่างรอบคอบ สรุปได้ว่า การมีสติในการดำเนินชีวิตจะทำให้ชีวิตมีความสุข
4. เปลี่ยนมุมมอง เปลี่ยนวิธีคิด ชีวิตก็มีสุข ชีวิตคนเราย่อมมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นคนเราต้องยอมรับความจริงและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง ในชีวิตไม่ว่าด้านบวกหรือด้านลบ พึงระลึกว่า เมื่อเวลาเปลี่ยนสรรพสิ่งบนโลก ใบนี้ย่อมเปลี่ยนแปลงด้วยเสมอ เมื่อวานเป็นอดีต พรุ่งนี้คืออนาคต วันนี้คือปัจจุบัน อดีตแก้ไขไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำวันนี้ให้ดี ให้มีความสุข แล้วเราก็จะมีความสุขในทุกๆ วัน
5. เริ่มต้นจากสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก แบ่งปันความรัก มอบความรู้สึกที่ดีๆ ให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นมิตรหรือศัตรู หากเรายิ้มให้กับกระจก กระจกมันจะยิ้มตอบเราเสมอ เมื่อเราสามารถทำให้คนอื่นมีความสุข เราก็จะ มีความสุขไปด้วย ความรักที่เรามอบให้บุคคลอื่นเป็นการแสดงออกที่สะท้อน ถึงความสุข ซึ่งต้องเป็นความรักที่เกิดด้วยความบริสุทธิ์ใจที่ไม่มีอะไรซ่อนเร้น
6. สนุกและพอใจกับปัจจุบัน รู้จักกับคำว่า พอเพียง อยู่อย่างเพียงพอ ที่ไม่น้อยเกินไปหรือไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีเหตุมีผล เข้าใจในเหตุผลของกันและกัน ต่างคนต่างมีเหตุผลของแต่ละคน ความขัดแย้งหรือ ตัวทำลายความสุขก็จะเกิดขึ้นหากแต่ละคนไม่เข้าใจในเหตุผลของแต่ละคน นั่นหมายความว่า ชีวิตที่มีสุขเราต้องอยู่อย่างพอเพียง มีเหตุมีผล และต้องเข้าใจในเหตุและผลของบุคคลอื่นด้วย
7. สร้างบันทึกแห่งความสุข ลองสะสมแต้มแห่งความสุข ลองวิเคราะห์ถึงที่มาของความสุข ว่าความสุขที่เราต้องการสุดท้ายแล้วมันคืออะไร แล้วเรา มีความสุขมากน้อยแค่ไหน บทสรุปของบันทึกแห่งความสุขก็คือ ความสุขเกิดจากตัวเราเอง เราคือผู้กำหนด และหากเรามีความสุขใจ ความสุขกายก็จะตามมา
หากกรอบแนวคิดที่ผ่านมาไม่สามารถทำให้ชีวิตเกิดความสุขได้เลย ก็จงยิ้มเข้าไว้ เพราะ
“รอยยิ้ม มันเกิดจากความรู้สึก รอยยิ้ม คือความบริสุทธิ์ของจิตใจ รอยยิ้ม ปลดทุกข์ นำสุข รอยยิ้ม คือมิตรภาพ ความผูกพัน รอยยิ้ม เปิดรับความสดใส รอยยิ้ม คือพลังใจ อันกล้าแกร่ง” แล้วความสุขก็จะเกิดพร้อมรอยยิ้ม ขอให้ทุกคนสุขใจสุขกาย




(

ภาพลวงตา

สภาพแวดล้อมทางการตลาดปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง การดำเนินธุรกิจต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคนาๆ ประการ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความอยู่รอดและความเจริญเติบโตของธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นเหตุให้ธุรกิจต้องหันมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญด้านการวิเคราะห์ ทำความเข้าใจถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง แบบเจาะลึก และเน้นการสร้างความแตกต่างที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด และก็เป็นเรื่องยากที่ธุรกิจ จะรู้ลึกถึงจิตใจและความปรารถนาของลูกค้าได้อย่างถ่องแท้ทั้งหมด
เมื่อธุรกิจต้องการความอยู่รอดและความเจริญเติบโต ธุรกิจก็จำเป็นจะต้องมีรายได้และกำไรมาใช้ในการดำเนินกิจการ และรายได้ก็มาจากการขายสินค้าและบริการกับลูกค้าเป้าหมาย ดังนั้นธุรกิจก็จะต้องศึกษาถึงความต้องการ หรือปัญหา และพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้าเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการดำเนินงานให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
ความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป็นสิ่งที่ธุรกิจจะต้องทำความเข้าใจ และต้องเจาะลึกอย่างถ่องแท้ ถูกต้อง ชัดเจน สามารถนำมาสร้างเครื่องมือ ในการนำเสนอให้โดนใจและสร้างความพึงพอใจแก่ลูกค้าเป้าหมาย ตลอดจน สามารถช่วงชิงความได้เปรียบทางการแข่งขัน ทำให้ธุรกิจเกิดรายได้ สร้างกำไร และอยู่รอดได้อย่างยาวนาน
การศึกษาความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมายเป็นการศึกษา ถึงวิธีการของแต่ละบุคคลที่ทำการตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรต่างๆ เกี่ยวกับ การบริโภคสินค้าและบริการ ธุรกิจต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับรูปแบบ การตอบรับต่อสิ่งเร้าต่างๆ ของลูกค้า คุณลักษณะและภาวะจิตใจ กระบวนการ ตัดสินใจซื้อ และปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการซื้อ ซึ่งการศึกษาดังกล่าวต้องอาศัย ทั้งความรู้ ประสบการณ์ เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์
บางครั้งพฤติกรรมการแสดงออกของลูกค้าเป้าหมายก็เป็นเสมือนภาพ ลวงตาที่ธุรกิจจะต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริงของลูกค้าออกมาให้ได้ เพื่อสามารถ ใช้เป็นข้อมูลในการนำเสนอขายและสื่อสารข้อมูลต่างๆ ให้เข้าถึงใจลูกค้าเป้าหมายอย่างโดนใจจนนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ นักการตลาด หรือนักขายต้องพึงระลึกว่า บางครั้งสิ่งที่เห็นอาจจะไม่ใช่ความจริง และสิ่งที่คิดว่าใช่ อาจจะไม่จริงก็ได้ ดังนั้น อย่าตัดสินคนอื่นด้วยความรู้สึก
นักการตลาดหรือนักขาย จะอาศัยข้อมูลแบบฉาบฉวย หรือใช้ความรู้สึก ส่วนตนมาตัดสินความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าเป้าหมายไม่ได้ หรือบางคนชอบคิดเอาเอง คิดแทนลูกค้า ตัดสินใจแทนลูกค้า ถ้าคิดถูกก็ดีไป หากคิดผิดลูกค้าก็อาจไม่กลับมาอีกแล้ว เพราะปัจจุบันเป็นยุคของเทคโนโลยี ลูกค้ารับรู้ข้อมูลมากขึ้น เร็วขึ้น มีทางเลือกมากขึ้น เมื่อมีสิ่งใหม่ๆ ที่ลูกค้ารู้สึก ว่าดีกว่าก็พร้อมที่จะไปตลอดเวลา ดังนั้น อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น อย่าท้อถ้าไม่ได้ ลงมือทำอย่างเต็มที่
การดำเนินธุรกิจจะต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลการตลาดที่เพียงพอ เหมาะสม และทันสมัย ไม่ตั้งสมมติฐานเริ่มต้นว่าข้อมูลไม่พอหรือหาไม่ได้ หรือ คิดว่าข้อมูลเกี่ยวกับตลาดหรือลูกค้าไม่จำเป็น คนเราถ้าจะทำให้คนอื่นเชื่อ ก็ ต้องเริ่มจากตัวเองว่าเชื่อในสิ่งๆ นั้นมากแค่ไหน และในขณะเดียวกันเราจะเชื่อ ในสิ่งนั้นๆ แล้วเรามีข้อมูลที่ตระหนักถึงมากน้อยและน่าเชื่อถือเพียงใด
การศึกษาข้อมูลตัวตนของลูกค้าเป้าหมายเป็นการศึกษาจากบุคลิก ลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลที่เป็นตัวบ่งบอกและสนับสนุนการแสดง ออกถึงพฤติกรรมต่างๆ ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นจะประกอบด้วย อายุ ครอบครัว อาชีพ รายได้ สถานะทางเศรษฐกิจ รูปแบบการดำเนินชีวิต (Lifestyle) บุคลิกภาพ วัฒนธรรม ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ธุรกิจหาได้ไม่ ยาก และเป็นข้อมูลใกล้ตัวที่บางครั้งธุรกิจก็ละเลยหรือไม่ให้ความสำคัญ จริงๆ แล้ว ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาเป็นข้อมูลเพื่อค้นหาพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้

กฎแห่งความรับผิดชอบ

ทุกการกระทำของคนเราจะมีเงาตามตัวที่ชื่อ “ความรับผิดชอบ” ติดมาด้วยเสมอครับ ทั้งสองอย่างนี้จะมีความสัมพันธ์กันอย่าง ใกล้ชิด เราควรตระหนักว่าหากได้กระทำสิ่งใดลงไปแล้วนั้น เราเองย่อมต้อง รับผิดชอบในผลต่างๆ ที่จะเกิดตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในสังคมเราจะเห็นว่ามีคนที่ “ไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง” มากมายทีเดียว ที่ร้ายยิ่งกว่า คือหลายคนได้พยายามโยนความรับผิดชอบ ของตนให้คนอื่นอีกด้วย
ผมพบความน่าสนใจเรื่อง “กฎแห่งความรับผิดชอบ” ที่ไบรอัน เทรซี่ นักการตลาดชื่อดัง ได้เขียนไว้ในหนังสือขายดีเล่มหนึ่งของเขา “คัมภีร์แห่ง ความสำเร็จ” หรือ Absolutely Unbreakable Law of Business Success ไบรอันเชื่อว่า “ในเมื่อเราเลือกและตัดสินใจด้วยตัวเอง เราก็มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาจากการเลือกและตัดสินใจนั้นด้วย”
ผมยอมรับว่าเสน่ห์ของความรับผิดชอบอยู่ตรงที่ ยิ่งเรายอมรับตัวเองมากขึ้น และมองตัวเองมากขึ้นในเรื่องนี้ คนอื่นๆ ก็ยิ่งต้องการช่วยส่งเสริมเรา มากขึ้น แต่ยิ่งเรามีความรับผิดชอบน้อยลงเท่าไหร่ มักจะตำหนิผู้อื่นมากขึ้น เพียงใด จำนวนคนที่ต้องการมีส่วนร่วมกับเรายิ่งมีน้อยลงตามนั้น จากในหนังสือ ไบรอันได้กล่าวถึง กฎแห่งความรับผิดชอบไว้ 3 ข้อดังต่อไปนี้
“คุณมีอิสระในการเลือกสิ่งที่คุณคิดและทำเสมอ” เชื่อเถอะครับ ไม่่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือกำลังทำอะไร มันเป็นผลมาจากการเลือกของเราทั้งสิ้น ฉะนั้นจุดที่เราอยู่ในปัจจุบัน เป็นอย่างที่เป็นในปัจจุบันก็เนื่องมาจากการคิด และการประพฤติในอดีตของเรา เพราะฉะนั้นอนาคตของคุณต้องการให้เป็น อย่างไร คุณมีอิสระที่จะเลือกและสามารถทำหรือพูดสิ่งที่ต้องการ “ชีวิตออกแบบได้” นั่นเองครับ หากต้องการให้ชีวิตดีขึ้น มันจะต้องดีขึ้น เช่น ท่าน เลือกที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยการตัดสินใจทำธุรกิจเครือข่าย เป็นต้น อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดกฎแห่งความรับผิดชอบข้อแรกจะ บอกคุณว่า คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ทำ หรือล้มเหลว ที่จะทำ/ต่อสิ่งที่พูด หรือล้มเหลวต่อสิ่งที่พูดได้เลย
“ความรับผิดชอบเริ่มด้วย การเข้าควบคุมสาระในจิตสำนึกของคุณ อย่างสมบูรณ์” นี่คือ กฎแห่งความรับผิดชอบประการที่สอง สิ่งที่เราคิดและลักษณะที่เราคิดเกี่ยวกับเรื่องใดๆ กำหนดความเป็นจริงของตัวเรา และเนื่อง จากการที่เราคนเดียวเท่านั้นสามารถควบคุมสิ่งที่เราคิด ส่งผลต่อการกระทำ ที่จิตเข้าควบคุมความคิดและมุ่งสนใจอยู่แต่สิ่งที่ตัวเองต้องการ (และมักจะ ไม่คิดถึงสิ่งที่ไม่ต้องการ) เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนายเหนือตน การควบคุม ตนเอง และพลังแห่งตน
“ไม่มีใครช่วยชีวิตคุณได้” เป็นกฎแห่งความรับผิดชอบประการสุดท้าย เห็นด้วยใช่ไหมครับว่า ถ้าจะเกิดอะไรขึ้นมันต้องขึ้นอยู่กับเรา อย่างไร ก็ตามมีสัจธรรมนะครับว่า “หากเราต้องการให้สิ่งต่างๆ เกิดการเปลี่ยน แปลง เราต้องเปลี่ยนตัวเราก่อน หากเราต้องการให้สิ่งต่างๆ ก้าวหน้าไป ในทางที่ดีขึ้น เราจะต้องพัฒนาตัวเราให้ดีขึ้นก่อน” อย่างในธุรกิจเครือข่าย ไม่มีใครที่สามารถพูดได้ ขยายงานเก่งมาตั้งแต่ต้นหรอกครับ คนที่เพิ่งเริ่ม ทำงานอย่าท้อ หมั่นฝึกพูด หมั่นเข้างานประชุม ร่วมหลักสูตรพัฒนาทักษะ ต่างๆ ที่มีการจัดขึ้น ทุกอย่างเป็นหนทางที่ทำให้คุณพัฒนาตัวเองให้เก่งได้ทั้งสิ้น
ผมขอฝากทิ้งท้ายไว้สักนิดนะครับว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดของคำว่า “รับผิดชอบ” คือ ต้องไม่หาข้อแก้ตัวหรือตำหนิผู้อื่นอย่างเด็ดขาด อย่าพูดหรือ แม้กระทั่งคิดว่า “นั่นไม่ใช่งานของฉัน” เพราะนี่คือลักษณะของคนที่ไม่มีอนาคตเขามักจะคิดและพูดกัน ไม่ใช่สิ่งที่ท่านควรทำตาม ทุกท่านเป็นคนที่มี “ความรับผิดชอบต่อตัวเอง” ใช่ไหมครับ ?