วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

พรปีใหม่ เพลงพระราชนิพนธ์

84 พรรษา ดวงใจราษฎร์ ปราชญ์แห่งน้ำ

รูปที่มีทุกบ้าน

ต้นไม้ของพ่อ

เพลงพ่อแห่งแผ่นดิน

01-ดอยเต่าดอทคอม - DOI TAO DOT COM

เพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่

jingle bells

The ABC Song

ok999ko ปิงปองเทพ ตลกๆ

รวมโครตของคน สุดยอด

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

10 สุนัขที่ฉลาด!!

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.4

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.3

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.2

คู่มือฝึกสุนัข ด้วยตนเอง Vol.1

หมายิ้ม

เด็ก 8 ขวบเต้นบีบอยแข่งกับผู้ใหญ่

ท่านยังจำคำเหล่านี้ได้ไหม? เล่าท.

ราชวัลลภ ปี ๒๕๕๐ (๓/๓)

ราชวัลลภ ปี ๒๕๕๐ (๒/๓)

ราชวัลลภ ปี ๒๕๕๐ (๑/๓)

วิดีโอ HD นครศรีธรรมราช on Vimeo

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

การวางแผนสุขภาพในวัย40+

เอดส์คืออะไร

เอดส์ คือ กลุ่มอาการที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายเสื่อมลงเนื่องจากร่างการได้รับเชื้อไวรัสที่เรียกว่า (HIV) หรือเชื้อไวรัสเอดส์ทำให้เม็ดเลือดขาว ที่เป็นภูมิคุ้มกันถูกทำลายลง จนร่างกายติดเชื้อโรคอื่น ๆได้ง่าย โดยเฉพาะโรคติดเชื้อฉกฉวยหรือโรคแทรกซ้อน ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยเอดส์ จึงมีอาการแสดงออกของโรคต่าง ไ เช่นโรคปอด,โรคผิวหนังและโรคอื่น ๆ เป็น ๆ หายๆ หากไม่ได้รับการรักษาโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ภูมิคุ้มกันจะเสื่อมลงเรื่อย ๆ ในที่สุดผู้ป่วยจะเสียชีวิต
เอดส์ป้องกันได้
1. งดการเที่ยวแหล่งบริการต่าง ๆ ที่นำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์
2. หากจะมีเพศสัมพันธ์ควรใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง
3. ถ้าจะมีบุตร ควรตรวจเลือดทั้งสามีและภรรยาเพราะบุตรอาจติดเชื้อ
4. งดการดื่มสุราเพราะอาจพาไปสู่การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย
5. ถ้าพบอุบัติเหตุที่มีเลือดกระจาย เวลาช่วยเหลือควรใช้ถุงมือหรือถุงพลาสติกทุกครั้ง
6. หยุดเสพยาเสพติด หากเลิกไม่ได้ ควรใช้เข็มและกระบอกฉีดยาที่สะอาด

ทางไม่ติดเชื้อเอดส์
1. การอยู่ในบ้านเดียวกัน
2. จูบแบบธรรมดา
3. ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน
4. ใช้ภาชนะใส่อาหารร่วมกัน
5. ไอ จามรดกัน
6. ใช้ห้องน้ำร่วมกัน
7. ยุงหรือแมลงกัด
8. การกอดกันธรรมดา
9. การใช้สระว่ายน้ำร่วมกัน
10. การอยู่ร่วมกันในชุมชน เช่นโรงภาพยนต์ สโมสร
วิธีปฏิบัติตนถ้าคุณติดเชื้อเอดส์
1. ไม่รับเชื้อเอดส์เพิ่มขึ้นอีก โดยการใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ร่วมเพศระหว่างผู้ติดเชื้อเอดส์โดยไม่ใช้ถุงยาง ต่างฝ่ายจะเพิ่มเชื้อให้กัน และจำทำให้ทั้งสองฝ่ายมีอาการเร็วขึ้น
2. มีกำลังใจดีและเข็มแข็ง ภาวะซึมเศร้าจะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลง
3. บำรุงร่างกายให้แข็งแรงรับประทานอาหารครบทุกหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ
4. งดการบริจาคเลือดหรืออวัยวะให้ผู้อื่น
5. ลดภาวะเสี่ยงต่อการติดเชื้อชนิดต่าง ๆ โดย
- อยู่ในที่ ๆ อากาศถ่ายเทดี
- ไม่ควรเลี้ยงสัตว์ เช่น สุนัข นก แมว เพราะสัตว์เหล่านี้มีเชื้อโรคและพยาธิมาก
- งดรับประทานอาหารดิบ ๆ สุก ๆ
- ควรดื่มนมพาสเจอร์ไรส์แล้ว

ไวรัสตับอักเสบ

ตับเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย มีน้ำหนัก 1,200-1,500 กรัม ในผู้ใหญ่ในเด็กขนาดตับจะใหญ่มากเมื่อเทียบกับขนาดของร่างกายลักษณะคล้ายตับหมู

ทำหน้าที่เปรียบเสมือนโรงงานเคมีที่สำคัญที่สุด เพราะหน้าที่มากมาย เช่น เปลี่ยนสภาพของสารอาหารจำพวกโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน และเกลือแร่ที่กินเข้าไปให้อยู่ในสภาพใช้ได้

ทำหน้าที่เป็นคลัง โดยตับจะเก็บกลัยโคเจนไขมันฯลฯ เอาไว้และปล่อยเมื่อร่างกายต้องการ

ทำหน้าที่สังเคราะห์ เช่น สร้างโปรตีนต่าง ๆ เช่น สร้างโปรตีนที่ทำให้เลือดแข็งตัว (ไฟบริโนเจน) แอลบูมิน และสร้างน้ำดี ทำหน้าที่กำจักสารพิษหรือยาที่เราทานเข้าไป

โดยเหตุที่ตับทำหน้าที่มากมาย เมื่อตับเป็นโรคจึงกระทบต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกายอย่างมาก โรคตับมีมากมายหลายสิบชนิดโดยในประเทศไทยรู้จักกันดีในคำว่า ตับอักเสบ จึงพบว่า เป็นการอักเสบจากไวรัสมากที่สุด

โรคตับอักเสบจากไวรัส หมายถึง โรคทีเกิดจากการติดเชื้อจากไวรัสทำให้เกิดการอักเสบที่ตับโดยตรง และกระจายไปทั่วทั้งตับมนุษย์พบพันธ์นี้มานานกว่า 2,000 ปี จนเมื่อ 30 ปีมานี้เองมีการค้นพบสิ่งใหม่ ๆ มากมายที่เกี่ยวกับไวรัสและกำลังพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ไวรัสที่ทำให้เกิดโรคได้บ่อยในประเทศไทย ได้แก่

1. ไวรัสตับอักเสบเอ ติดต่อโดยการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม

2. ไวรัสตับอักเสบบี ติดต่อโดยการรับเลือด ผลผลิตจากเลือดหรือเข็มฉีดยา

3. ไวรัสตับอักเสบซี ติดต่อคล้ายไวรัสบี

4. ไวรัสตับอักเสบดี ยังไม่พบข้อมูลที่แน่นอน

5. ไวรัสตับอักเสบอี ติดต่อคล้ายไวรัสเอ
ประวัติและอาการ

โดยปกติตับอักเสบจากไวรัสเอ,บี,ซี,ดี,อี มีอาการคล้ายคลึงกันมาก จนแยกกันไม่ได้แต่ลนิด บี จะรุนแรงกว่าชนิดอื่น

อาการเริ่มแรกจะรู้สึกไม่ค่อยสบายตัว ต่อมามีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร (ทานยาแก้หวัดจะไม่ดีขึ้น) มีคลื่นไส้อาเจียน จะอ่อนเพลียมาก หลังจากมีไข้ 4-5 วัน หรือหลังจากอาเจียน 2-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มตาเหลือง ตัวเหลืองและปัสสาวะสีเข้ม ช่วงที่มีตาเหลืองอาการไข้จะเริ่มหายไป คลื่อนไส้ อาเจียนก็ไม่มี เจริญอาหารสบายตัวขึ้นมาก แต่อาการตาเหลืองยังคงมีต่อไประยะหนึ่ง แต่ละคนอาจเร็วหรือช้าต่างกัน

มีผู้ป่วยบางรายเป็นตับอักเสบจากไวรัสโดยไม่มีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ซึ่งจะตรวจได้โดยการตรวจเลือดดูสมรรถภาพของตับเท่านั้น

ดังนั้นหากท่านมีอาการที่น่าสงสัยควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยได้แต่เนิ่น ๆ หรือทางที่ดีที่สุดก็คือ “ตรวจสุขภาพประจำปี” และ”ฉีดวัคซีน”



ด้วยความห่วงใยจาก….สมัย สำลี

เป็นโรคเก๊าต์ อะไรทานได้อะไรทานไม่ได้

โรคเก๊าต์เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการเผาผลาญโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกายทำให้กรดยูริคในเลือดสูง และกรดยูริคนี้จะเป็นผลึกไปเกาะตามอวัยวะต่าง ๆของร่างกาย ถ้าเกาะตามข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า หรือข้อเท้า ผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อเป็นๆหายๆ ถ้าไม้ได้รับการรักษาอาการจะรุนแรงขึ้นจนข้อพิการได้ นอกจากของการรักษาของแพทย์แล้ว การรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง จะมีส่วนช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคได้เป็นอย่างดี
1. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภท เครื่องในสัตว์ กะปิ ปลากระป๋อง ไข่ปลา น้ำต้มเนื้อ ยอดผักโขม ชะอม ถั่วเมล็ดแห้ง
2. งดเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ เพราะมีผลต่อการขับถ่ายกรดยูริคได้น้อยลง
3. อาหารประเภทนม เนยสด เนยแข็ง ไข่ ข้าว ผลไม้ สามารถรับประทานได้อย่างปกติ


อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน
1. กลุ่มที่ห้ามรับประทาน
- น้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งน้ำผึ้ง
- ขนมหวานและขนมเชื่อมต่าง ๆ
- ผลไม้กวนและผลไม้เชื่อม
- น้ำหวานต่าง ๆ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
- ผลไม้รสหวานจัดเช่น ทุเรียน องุ่น ลำไย มะม่วงสุก ขนุน ละมุด อ้อย
2. อาหารที่จำเป็นต้องจำกัดปริมาณ
- อาหารพวกแป้ง เช่น ข้าว เผือก มัน ถั่ว ก๋วยเตี๋ยว ขนมปัง มักกะโรนี
- อาหารไขมันสูง เช่นขาหมู่ ข้าวมันไก่ หมูสามชั้น อาหารทอด
- ผักประเภทที่มีแป้งมาก เช่นหัวผักกาด ฟักทอง หัวหอม
- ผลไม้บางชนิด เช่น ส้ม เงาะ สับปะรด มะละกอ ฝรั่ง กล้วย
3. อาหารที่รับประทานได้ไม่จำกัด
- ผักทุกชนิด (ยกเว้นที่มีแป้งมาก)
- อาหารโปรตีนประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ไห่ วัว ปู ปลา กุ้ง เนื้อ หมู และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ เป็นต้น


ข้อเท้าแผลงทำอย่างไร
1. หยุดการลงน้ำหนักบนเท้านั้น หลีกเลี่ยงการเดินมาก ๆ พันผ้ายืดเพื่อลดการเคลื่อนไหว
2. ยกเท้าสูงเพื่อให้เลือดและของเสียไหลกลับได้ดีขึ้น
3. ชั่วโมงแรก ประคบความเย็น 15-20 นาที เพื่อลดบวม หลังจากนั้นประคบด้วยความร้อนเพื่อเป็นการซ่อมแซม หากมีการบวมหรือปวดมากและนานผิดปกติควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด


ปวดคอเนื่องจากนอนตกหมอน
คอตกหมอนจะมีอาการปวดคอหรือคอแข็งอย่างเฉียบพลัน มักจะเกิดหลังจากตื่นนอน มีวิธีแก้ไขดังนี้
1. พักผ่อนโดยการนอนราบชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก
2. ถ้าปวดคอภายใน 24 ช.ม. ควรประคบด้วยถุงผ้าหอน้ำแข็ง10-15 นาที
3. ถ้าปวดนานกว่า 24 ช.ม.ประคบร้อนด้วยถุงน้ำร้อน ผ้าชุบน้ำอุ่น 15-20 นาที
4. รับประทานยาเพื่อลดปวด
5. การยืดคอด้วยตนเองทำได้โดยดึงศรีษะไปในทิศทางที่หันไม่ได้ ช้า ๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อย ค้างไว้ประมาณ 30 นาที ทำชุดละ 3-10 ครั้งวันละ 3 ชุด
6. ไม่ควรนวดในระยะปวดเฉียบพลันเพราะจะทำให้ปวดมาก หากยังไม่หายให้พบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัด


เป็นลมหรือหมดสติ
- ให้จับผู้ป่วยนอนราบลง ไม่ต้องหมุนหมอนให้ตะแคงหน้าไปด้านหนึ่ง เพื่อกันสำลักถ้าอาเจียนหรือมีเสมหะ
- ขยายเสื้อผ้าให้หลวมโดยเฉพาะบริเวณคอ
- ถ้าอากาศร้อนให้ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า
- ถ้าผู้ป่วยตัวเย็นก็ควรให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายพอสมควร
- ถ้าผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว อย่าพยายามให้ดื่มน้ำหรือกรอกยา เพราะอาจสำลักเข้าปอดได้ง่าย ๆ


เล็บขบเจ็บจัง
เมื่อขอบเล็บด้านนอกงอกเข้าไปในเนื้อ หรือเกิดอุบัติเหตุทำให้เล็บขบจนรู้สึกปวด มีวิธีแก้ไขดังนี้
- ไม่ควรตัดเล็บให้โค้งมน ให้ตัดตรง ๆ จะได้ป้องกันไม่ให้เล็บงอกเกินขอบจนฝังเข้าไปในเนื้อได้
- ถ้าเล็บงอกเข้าไปในเนื้อ ให้ตัดเล็บส่วนนั้นออกไป และจุ่มเท้าในน้ำอุ่น
- ใช้เศษผ้าฝ้ายหรือแผ่นสำลีบาง ๆ แทรกตรงมุมเล็บ จนกว่าเล็บจะงอกออกมา
- ถ้าเป็นมากจนเล็บตัดออกไม่ได้ ควรรีบพบแพทย์


เมื่อถูกตีหรือกระแทกบริเวณลูกตา
- ปิดตาข้างที่บาดเจ็บด้วยผ้าที่สะอาด
- ใช้ผ้าพันทับอีกครั้ง แต่อย่าใช้แรงกดลงบนลูกตา
- การปิดตาทั้ง 2 ข้างจะเป็นการป้องกันการเคลื่อนไหวของตาข้างปกติ
- ประคบด้วยน้ำเย็น
- รีบไปพบแพทย์

ไซนัสคืออะไร :

ไซนัสคืออะไร :

ไซนัสเป็นโพรงอากาศในกะโหลก ซึ่งพบได้ที่หัวคิ้ว ขอบจมูก และโหนกแก้ม หน้าที่ปรกติของโพรงไซนัสไม่เป็นที่ทราบที่แน่นอน แต่อาจทำให้

1. กะโหลก

2. เสียงก้อง

3. สร้างเมือกและคุ้มกันให้โพรงจมูก

โดยปรกติเมือกในโพรงไซนัสจะไหลเข้าสู่โพรงจมูก ผ่านเข้าช่องเล็ก ๆ ที่ผนังข้างจมูกเพื่อใช้ในการต่อสู้ เชื่อโรคและระบายสิ่งแปลกปลอมจากจมูกลงสู่ลำคอหรือออกทางจมูก

ไซนัสอักเสบเกิดขึ้นได้อย่างไร :

เมื่อจมูกเกิดอาการบวม เช่น เป็นหวัด จมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในจมูก จะทำให้ช่องที่ติดต่อระหว่างโรงจมูก และโพรงไซนัสดังกล่าวอุดตัน ทำให้เกิดการคั่งค้างของน้ำเมือกในโพรงจมูก และเมื่อเชื้อโรคจากจมูกเข้าสู่โพรงไซนัสได้ ( อาจเกิดการสูดน้ำมูกอย่างแรง, หรือสั่งน้ำมูกอย่างแรง ขณะที่จมูกอุดตัน ) เชื้อโรคจะแบ่งตัวและทำให้เกิดการติดเชื้อของโพรงไซนัส และมีหนองเกิดขึ้น ทำให้จมูกยิ่งบวมมากขึ้น จึงเกิดภาวะ “ไซนัสอักเสบ”

อาการ :

อาการของโรคไซนัสอักเสบอาจแตกต่างกันระหว่างในเด็กและผู้ใหญ่โดยผู้ใหญ่จะมีอาการไขสูง, ปวดศรีษะ, และอ่อนเพลียได้มากกว่าในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งไม่ค่อยมีอาการดังกล่าว

เมื่อช่องที่ติดต่อระหว่างโพรงไซนัสและจมูกเปิดออกเป็นครั้งคราวหนองและเมือกจากโพรงไซนัส ก็จะไหลลงสู่จมูกและคอ ทำให้เกิดอาการ ดังนี้

1. น้ำมูกไหล โดยสีน้ำมูกอาจะเป็นสีเขียวเหลืองหรือขาวเป็นมูก

2. ไอ เมื่อเมือกหรือหนองไหลลงคอ โดยเฉพาะตอนกลางคืน

3. หายใจมีกลิ่น

4. คออักเสบ เป็นหวัดบ่อย ๆ

การรักษาโรคไซนัสอักเสบ

1. การให้ยาฆ่าเชื้อโรค

2. การลดบวมของโพรงจมูก เพื่อให้หนองในโพรงไซนัส ไหลถ่ายเทออกมาให้หมด

การให้ยาฆ่าเชื้อโรค ( ยาปฏิชีวนะ )

1.ยาที่ให้ฆ่าเชื้อโรคส่วนใหญ่จะเป็นยา Amoxicillin/clavulonic acid, cefaclor, claithromycin, Erythromycin โดยจะให้การรักษานานประมาณ 2-6 อาทิตย์

2.การให้ยาเพื่อลดบวมของโพรงไซนัส โดยการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือหรือการให้ยาผ่านจมูก

3.หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ซึ่งพบว่าประมาณ 50% ของผู้ป่วยที่เป็นไซนัสอักเสบ พบว่าเรื่องมากจากเป็นโรคภูมิแพ้ ดังนั้นผู้ป่วยดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงฝุ่น, หรือสิ่งกระตุ้นคือ ควันบุหรี่ การติดเชื้อจากคนรอบข้าง, การว่ายน้ำในสะที่ไม่ได้มาตรฐานหรือการอยู่ในที่แออัด

นพ.บัลลังก์ ศรีกฤษณรัตน์

เวียนศรีษะ

โดย หมอ “เชวง”

โรคเกี่ยวกับระบบการทรงตัวของร่างกาย คือโรควิงเวียนศรีษะ จากประสบการณ์ที่ดูแลผู้ป่วยมานานพอสมควรพบอาการเป็นโรคนี้ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในระยะ 2-3 ปีหลังนี้นะครับพบเกือบทุกวัน หนักบ้าง เบาบ้าง อาการมีตั้งแต่เล็กน้อย เช่น มึน ๆ วิงเวียน สมองไม่โล่ง เมา ๆ (ทั้งที่ไม่ได้กินเหล้าหรือสุรา) มากจนถึงขั้นมีความรู้สึก “หมุน” อาจจะเป็นตัวหมุนเหวี่ยง,ลอยไปมาหรือรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมเช่น ผนังห้อง บ้านหมุนรอบตัวเรา พื้นเอียงไปมา ถ้าเป็นมากจะเสียการทรงตัว เดินแล้วอาจโซเซหรือล้มมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อแตกความรู้สึกอยากจะปัสสาวะหรืออุจจาระ บางทีความรู้สึกเหมือนใจจะขาด ต้องนอนหลับตาตลอด(เพราะลืมตาแล้วมันรู้สึกหมุน) เป็นความรู้สึกที่ทรมานพอสมควร คนไม่เป็นจะไม่ใรู้ โรคนี้เป็นมากในคนสูงอายุ หรือเริ่มแก่ก็ได้ เอ๊าะ ๆ พบน้อย ถ้าเป็นในผู้สูงอายุอาจจะทำให้ล้มแล้วบาดเจ็บซ้ำซ้อนก็ได้ เช่น บาดเจ็บศรีษะ,กระดูกหักข้อเคลื่อนได้ ก่อนอื่นต้องขออธิบายความซักเล็กน้อย ว่าการที่คนเราสามารถทรงตัวได้แบบปรกติ คือ นอน,นั่ง ,ยืน,เดินเหิน หันหน้า กลับหลัง ซ้าย ขวา ได้ก็เพรีาะมี่ระบบประสาทการทรงตัวทำงานปรกติ ซึ่งประกอบด้วย

1. หูชั้นใน โยงไปเซลล์ประสาทในก้านสมอง

2. ระบบประสาทการมองเห็น คือ ดวงตาแล้วส่งไปที่สมองใหญ่ที่ควบคุมการมอง

3. ระบบประสาทที่รับตำแหน่งมาจากข้อต่างๆ แล้วส่งไปสมองเล็ก

ถึงในภาวะปรกติ ระบบเหล่านี้ก็อาจจะทำงานมีขีดจำกัดเหมือนกัน คงจำกันได้สมัยเด็กๆ เวลาเล่นหมุนตัวเร็ว ๆ หรือนั่งม้าหมุน ก็จะทำให้เกิดการหมุน ๆ แต่ตอนนี้ก็เพียงแค่รู้สึกหมุนชักประเดี๋ยว ก็้เมาตาลายแล้ว บางทีเป็นอยู่นานด้วย เป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะหายแต่ก็สามารถฝึกฝนให้ทนขึ้นได้เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น นักบัลเล่ต์,สเก็ตน้ำแข็ง นักยิมนาสติก หมุนหลาย ๆรอบเป็นเวลานานๆ โดยที่ไม่เป็นอะไร

โรคที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ เสียศูนย์ หรือบ้านหมุนนี้ครับคือระบบการทรงตัวของหูชั้นในทำงานผิดปรกติ หรือปรับตัวไม่ทันอาจจะเป็นเองหรือมีการติดเชื้อของหู เชื้อหวัดธรรมดา เข้าไปในปราสาทหู ได้รับสารพิษหรือยาบางชนิด อากาศหนาวจัด ๆ ซึ่งมักจะเป็นตอนตื่นนอนเช้า ในท่านอนอาจจะมีการปวดหู หูอื้อ หรือมีเสียงในหูร่วมด้วย การอดนอนหรือเครียดจัด ๆไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย จะซ้ำเติมให้อาการเป็นมากขึ้น หรือความทนทานต่อการเรียนลดน้อยลง

นอกจากนั้นก็มีสาเหตุมากจากเลือดไปเลี้ยงระบบปราสาทที่ควบคุมการทรงตัวไม่พอไปชั้วขณะ มักพบในคนสูงอายุ หรือมีโรคอยู่เดิม เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง,ไขมันสูง ถ้าเส้นเลือดตีบไปเลย มีเซลล์ปราสาทตายบางส่วนอาจจะมีการเดินเซ,พูดไม่ชัดร่วมด้วย สาเหตุอื่น ๆ ที่พบไม่บ่อย เช่น เนื้องอกของเส้นปราสาทหู,เนื้องอกสมองเล็ก กล้ามเนื้อตาอ่อนแรงทำให้เห็นภาพซ้อน

ยาที่มักทำให้เกิดการวิงเวียนหรือบ้านหมุน เช่นที่พบบ่อย ๆ มี

1. ยาปฏิชีวนะประเภทสเตรปโตไมซิน ที่ใช้ฉีดรักษาวัณโรค ปัจจุบันใช้น้อยลงแล้ว

2. ยากันชัก

3. ยาขับปัสสาวะ

4. ยาลดความดันโลหิต

5. ยาลดความอ้วน อาจจะเกิดขณะที่กิน หรือหยุดก็ได้ครับ

การติดเชื้อที่ไต เช่น กรวยไตอักเสบทำให้ เวียนศรีษะ อาเจียนมาร่วมกับมีไข้

จะเห็นได้ว่า สาเหตุของโรคบ้านหมุน(เสียศูนย์) นับว่ามากมายหลากหลาย แต่ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะส่วนใหญ่ ถ้าเป็นไม่มากกินยาหอม ยาดมยาลม นอนพักซักครู่ก็จะหาย ถ้าเป็นมากขึ้น นอน รพ. ให้น้ำเกลือให้หมอรักษาก็จะหายใน 1-2 วัน หรือไม่เกิน7 วัน ถ้ามากกว่านั้น หรือถ้าเป็น ๆหาย ๆ ซึ่งมักเป็นในคนสูงอายุ อาจจะต้องตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด เช่น ตรวจเลือด เอ็กซเรย์สมองหรืออื่น ๆ และต้องรักษาโรคที่เป็นอยู่เดิมควบคู่ไปด้วย นอกจากนั้นกายภาพบำบัดโดยการฝึกท่านั่ง-นอน จะทำให้ทนทานต่อการหมุนดีขึ้นหรือจนหายขาดได้

ก็อย่างที่บอกละครับ 2-3 ปี หลังนี้ พบอาการป่วยแบบนี้บ่อย ๆ ความเครียดก็คงจะมีส่วนแน่ ๆ ยิ่งนอนไม่หลับด้วยแล้ว แถมมีไมแกรน ปวดหัวพ่วงบ้านหมุนมาอีก ชักจะยุ่งกันไปใหญ่อย่าไปคิดอะไรมากเลยนะครับ

โรคลมชัก

โดย หมอเชวง

โรคลมชัก คือ โรคที่มีอาการชัก,เกร็ง,กระตุกส่วนใดส่วนหนึ่งหรืออาจจะทั้งหมดทุกส่วนของร่างกายเลยก็ได้ ส่วนใหญ่จะมีอาการหมดสติ กัดฟัน,กัดลิ้น, ร่วมด้วยถ้ารุนแรงๆไม่ยากใช้คำว่าลมบ้าหมู เพราะอาจจะทำให้เข้าใจผิด เช่น กินหมูแล้วชัก ซึ่งไม่เกี่ยวกัน หรือในคนที่เกลียดหมูเขาอาจจะทำให้เข้าใจกันผิด เขาอาจเคืองเอาก็ได้ (อาจจะต้องบอกว่าเป็นลมบ้าไก่,บ้าเป็ด,แทน) คนเราปกติ อนุญาตให้ชักได้ 1 ครั้ง เช่น อดนอนจัดๆ เครียดมาก ๆ ดื่มหนักๆ ถ้าชักมากกว่า 1 ครั้ง ต้องหาสาเหตุ เช่น ในเด็กอาจจะเกิดจาก ไข้ ความพิการทางสมอง ในผู้ใหญ่ต้องหาว่าอาจจะมีไข่พยาธิตัวตืดขึ้นสมอง เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดสมองโป่งหรือตีบ เป็นต้น

โรคลมชัก จะมีอันตรายช่วงที่ชักมาก ๆ เช่นกัดลิ้นตัวเอง ล้มแล้วบาดเจ็บ หรือถ้ามีโรคประจำตัวอื่น เช่น โรคหัวใจ อาจจะหัวใจวายต่อได้ ช่วงที่ชัก ถ้าอยู่บ้านต้องหาอะไรรองฟันไม่ให้กัดลิ้น เช่นยาง ผ้าผืนเล็ก ๆ ถ้าหาไม่ได้ก็ใช้ด้ามช้อน ถอดฟันปลอม(ถ้ามี) อย่าพยายามเอานิ้วมือเราไปแหยไว้ก่อน นิ้วอาจจะขาดได้ จากนั้นรีบนำส่งโรงพยาบาล แพทย์ก็จะทำการช่วยเหลือเบื้องต้น หาสาเหตุ และการรักษาอาการแทรกซ้อน (ถ้ามี)

การให้ยากันชัก ในกรณีที่ไม่พบสาเหตุชัดเจน ก็จะให้ยากันชักกินประมาณ 3-5 ปี ในช่วงการรักษานี้ คนไข้ต้องพยายามกินยาให้สม่ำเสมอ ไม่ควรที่จะอดนอน เครียดหรือดิ่มเหล้า ไม่ขาดยาเองเพราะจะทำให้ชักรุนแรง ถ้าหากมีสาเหตุก็รักษาไปตานนั้นเช่น ให้ยาฆ่าไข่พยาธิตัวตืด รวมไปด้วย

ไตวายเรื้อรัง

โดย หมอ “เวง”

เห็นชื่อเรื่องแล้วอย่าเพิ่งงงนะครับ ฟังผมคุยไปเรื่อย ๆแล้วจะเข้าใจ ช่วง2-3 ปีก่อน ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองลาวบ่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็จะไปปากเซ แขวงจำปาศักดิ์ ก็ไปเยียมเยื่อนคนไข้ซึ่งเป็นลูกค้าของรพ.เป็นหลัก และถือโอกาสไปเที่ยวด้วย ใคร่ๆที่ชอบธรรมชาติ(ที่บริสุทธิ์) ชอบความเป็นอยู่แบบเดิมๆ แล้วมักจะชอบไปเที่ยวเมืองลาว เหมือนเรากลับไปหาอดีตเมื่อ 30 ปีก่อน เลย ทำให้มักคุ้นกับผู้คนแถบนี้อยู่พอสมควร ลาวกับไทยสมเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันจริง ๆ นะครับ คือพูดง่าย ๆ คุยกันรู้เรื่อง ไม่ต้องพูดภาษาอื่น และที่ชอบอีกอย่างคือ ภาษาพูดเค้าจะใช้คำง่าย ๆ เช่น โรงพยาบาล เค้าเรียก “โฮงหมอ” ห้องฉุกเฉิน เรียก”ห้องฟ้าว” ห้องผ่าตัดเรียกั”ห้องปาด,ห” ห้องคลอดเรียก”ห้องประสูติ” เป็นต้น ส่วนบักไข่หลังที่จั่วหัวไว้ หมายถึง ไตนั่นเอง

บักไข่หลังเสื่อมคือ โรคไตวาย เหตุผลที่เรียก “ไข่หลัง” น่าจะเป็นจาก(ผมเดาเองนะครับ) รูปร่างของไตเหมือนไข่(ความจริงเหมือนเมล็ดถั่ว) อยู่ที่หลัง(บั้นเอว) 2 ข้าง (ข้างละอัน) หรือจะแปลอีกอย่าง คือ ไข่ที่อยู่ข้างหลัง โดยเหตุผลสนับสนุนว่า ไข่คู่อันข้างหน้าก็คือลูกอัณฑะ (รึเปล่า)

โรคไต มีหลายประเภทนะครับบางอย่างเป็นแล้วรักษาหายขาดปกติโรคบางอย่างรุนแรง มีการทำลายไตไปมากๆ ก็ทำหน้าที่ไตลดน้อยลงมากๆ ร่างกายก็เริ่มแย่ จากภาวะไตพร่องกลายเป็นโรคไตวาย ซึ่งผมพูดถึงเฉพาะ ไตวายเรื้อรัง ซึ่งรักษาไม่ค่อยหายขาดและการรักษาค่อนข้างซับซ้อนก่อนอื่นเรามาดูที่ไตก่อนนะครับ ไตมีหน้าที่หลายอย่าง หน้าที่หลักที่ทราบกันทั่วไป คือ ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ที่เราเห็นกันทุกวัน ๆ คือปัสสาวะนั่นแหละครับปัสสาวะมาตั้งเยอะ 50-60 ปีมาแล้วไม่มีปัญหา ไม่ปัสสาวะซัก 2 วัน จะเป็นอะไรไปเกิดเรื่องแน่นอนครับ ในการดำรงชีวิตของทุกๆ วันซึ่งต้องกินอาหารเข้าไปเพื่อย่อยสลายเป็นพลังงานให้มีชีวิตอยู่(ใช้หนี้ IMF) ก็ต้องมีของเสียเกิดขึ้น ของเสียบางส่วนเปลี่ยนเป็นรูปกก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ผ่านทางปอดและหายใจออกไป ของเสียที่ไม่สามารถสลายเป็นก๊าซได้ เช่น อาหารที่สลายจากโปรตีน และกรดด่าง จะขับออกทางไต ฉะนั้นต้องออกทุกวัน เปรียบง่าย ๆ กับท่อน้ำเสีย ถ้าเกิดการอุดตัน บ้านาท่านคงเจิ่งนองไปด้วยน้ำเสีย สิ่งปฎิกูลต่าง ๆ (เห็นภาพพจน์นะครับ) หน้าที่ไตอื่น ๆเห่นการรักษาดุลย์ กรดด่าง, เกลือแร่ในร่างกายและสร้างฮอร์โมน กระตุ้นการสร้างเม็ดโลหิตแดง ไม่ให้โลหิตจาง

สาเหตุของไตวายเรื้อรัง มีหลายอย่าง ที่พบบ่อย ๆคือ ไตอักเสบเช่นจากโรค SLE (ลูปุส),นิ่วกไต,เบาหวาน,ความดันโลหิตสูง,เก๊าท์ที่ควบคุมไม่ดี,ยาแก้ปวดบางตัว ฯลฯ ภาวะที่ว่านี้ทำให้หน้าที่ไตเสื่อมลงเรื่อย ๆ พอลดลงถึงระดับหนึ่ง (มากกว่า 50 %) อาการไตวายก็ตจะเริ่มปรากฎ แรก ๆ จะไม่มีอาการใด ๆ อาการเริ่มต้นตั้งแต่ เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย วิงเวียน ซีด ๆ บวม ๆ ตามหน้า,ขา: ปัสสาวะจะผิดปกติ ไตวายบางชนิดปัสสาวะปกติ บางชนิดจะปัสสาวะน้อย หรือไม่ปัสสาวะเลย ความดันโลหิตอาจสูงขึ้นหรือสูงมากกว่าเดิม อาการปวดหลังที่ ชาวบ้านชอบกลัวว่าจะเป็นโรคไต จะพบในกรณีโรคไตวายที่เกิดจากโรคนิ่วเท่านั้น จึงสรุปว่า อาการปวดหลังอาจจะเป็นโรคไตหรือโรคอื่น ก็ได้และโรคไตวายเองก็อาจจะไม่ปวดหลังเลยก็ได้ถ้าโรคเป็นหนักเข้าก็จะหอบเหนื่อยจากภาวะน้ำเกิน,ปอดชื้น,ไอ,นอนราบไม่ได้,คลื่นไส้อาเจียน,บวมมาก. สุดท้ายหัวใจจะล้มเหลว น้ำท่วมปอดมาก หายใจเป็นฟอง อาจมีเลือดปน เกลือแร่บางตัวอาจสูงมากเช่น โปแตสเซียม ทำให้ถึงแก่กรรมได้ ถ้ารักษาไม่ทันท่วงที

การรักษาโรคไตวายเรื้อรัง ประกอบด้วย รักษาภาวะวิกฤติซึ่งจะทำให้คนไข้เสียชีวิตก่อน เช่น ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะชัก,ภาวะโปแตสเซียมเกิน เมื่อภาวะดังกล่าวบรรเทาแล้วต้องหาสาเหตุ และแก้ไข เช่น ผ่าเอานิ่วออก ,ควบคุมเบาหวาน, ความดันโลหิตให้ใกล้เคียงปกติ,รักษาการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ถ้ารักษาโรคอันเป็นสาเหตุแล้ว หน้าที่ไตก็จะกลับฟื้นมาบางส่วน ถ้าหน้าที่ไตไม่กระเตื้องขึ้น จากการรักษาดังกล่าว วิธีการต่อไปมี 2แบบใหญ่ ๆ คือ

1. รักษาประคับประคอง โดยการควบคุมอาหาร ควรลดอาหารโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ขาว,ไปเน้นทางแป้ง,ไขมัน แทน ลดอาหารเค็ม ถ้าปัสสาวะน้อยควรลดปริมาณน้ำดื่มต่อวันด้วย,การใช้ยาหลายชนิด รวมถึงฮอร์โมนเพิ่มเลือดด้วย,และร่วมการฟอกไต(ล้างไต) ด้วยเครื่องไตเทียม ต้องยอมรับว่าการรักษาดังกล่าวมานี้ต้องทำไปตลอดชีวิต การฟอกไตก็คือการใช้เครื่องไตเทียมทำงานแทนไต โดยเอาเลือดจากตัวผ๔ป่วยเข้าเครื่องดูดของเสีย,น้ำส่วนเกินออกไป เสร็จแล้วก็ส่งเลือดกลับคืนสู่ตัวผู้ป่วยในเวลาเดียวกัน

2. การเปลี่ยนไต เป็นการรักษาที่ดีที่สุดเพราะจะทำให้โรคหายขาดเป็นปกติ (แต่) ปัจจุบัน ถึงแม้การแพทย์จะก้าวหน้ามาก การเปลี่ยนไต ก็ยังอาจมีปัญหาได้ ถ้าร่างการผู้ป่วยไม่ี่รับไตใหม่ ขั้นตอนที่สำคัญคือการคัดเลือกผู้ป่วยเพื่อรับการเปลี่ยนไตให้เหมาะสมคือ ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกรายจะสามารถเปลี่ยนไตได้หมด

คุยกันพอสังเขปนะครับมากไปเดี๋ยวเครียดกันเปล่า ๆ โรคทุกโรคก็เหมือนกันละครับ ถ้ารู้เร็วก็ดีไป รู้ช้า ๆ บางทีก็ลำบาก โรคบางอย่างก็ไม่แสดงอาการจนกว่าจะเป็นมากนะครับ ต้องอาศัยการตรวจสุขภาพเป็นประจำจึงจะรู้ ก็ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพกายใจอันสมบูรณ์เข้มแข็งกันตลอด

ไขมันในเลือดสูง

ปัจจุบันคนไทยมีอายุยืนขึ้น ทำให้พบโรคที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย ได้มากขึ้น โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคอัมพาต โรคดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่หลอดเลือดแข็งตัว (atherosclerosis)และหลอดเลือดตีบตัน ซึ่งพบได้เมื่อคนเรามีอายุมากขึ้น

ภาวะไขมันในเลือดสูง เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำใหเกิดหลอดเลือดแข็งตัว เราสามารถควบคุมและป้องกันไม่ให้เกิดภาวะนี้ได้ไม่ยาก โดยเฉพาะถ้าเริ่มป้องกันหรือรักษาตั้งแต่อายุประมาณ 35-40 ปี จะช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ และโรคอัมพาตในวัยชราได้อย่างมาก โดยทั่วไปการตรวจไขมันในเลือดจะตรวจสารต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

1. โคเลสเตอรอล (Cholesterol)

เป็นส่วนสำคัญของไขมันควคามหนาแน่นต่ำ โคเลสเตอรอลเป็นไขมันชนิดหนึ่งที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เอง และรับจากสารอาหารที่รับประทานเข้าไป โคเลสเตอรอลเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดแข็งตัว และตีบตัน สารโคเลสเตอรอลนี้จะมีมากในไขมันสัตว์ระดับปรกติในโลหิต ไม่ควรเกิน 200 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม. และถ้าพบว่า สูงมากกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อ 100 ลบ.ซม. ควรควบคุมและะรักษา จากการศึกษา พบว่า ถ้าลดระดับโคเลสเตอรอลลงได้ 1% จะทำให้โอกาสเกิดโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบลดลงถึง 2%

2. ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride)

ไขมันชนิดนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่รับประททนเข้าไป และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการสังเคราะห์ในร่างกาย ในคนอ้วนระดับไตรกลีเซิร์ไรด์ มักจะสูงได้บ่อย ๆ ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ไขมันตัวนี้เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ ถ้าพบว่ามีระดับสูงมากหรือพบว่าสูงในคนที่มีโคเลสเตอรอลสูง เชื่อว่า โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบเพิ่มขึ้นจึงควรรักษา

3. เอชดีแอล (High Density Lipoprotain ; HDL)

เป็นไขมันที่มีความหนาแน่นสูง มีหน้าที่จับไขมัน โคเลสเตอรอล ในกระแสเลือดออกไปทำลายที่ตับ ดังนั้นถ้าระดับ HDL นี้สูง จะมีผลทำให้โอกาสเป็นโรคหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ และโรคหลอดเลือดลงโดยเฉพาะถ้าระดับ HDL สูงเกิน 50 มิลลิกรัม ต่อ ลบ.ซม. HDL จะสูงจากการออกกำลังกายและะจากยาลดไขมันบางชนิด

เมื่อท่านตรวจพบไขมันในเลือดสูง โดยระดับโคเลสเตอรอลสูงกว่า 200 มิลลิกรัม ต่อ ลบ ซ

วันศุกร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

狗狗猩猩大冒險 02_3

สร้าง Blog ด้วย Wordpress

เขียนบล็อก กับกูเกิลบล็อก2

Introduction to e-marketing

internet ดินแดนต้องห้ามของเรื่องส่วนตัว

การใช้งานทวิตเตอร์ผ่านเว็บไซต์

เล่นเฟสบุ๊ค ยังไง

วิธีสมัครและใช้งานทวิตเตอร์ Twitter

วิธีการสร้างหน้า Fan Page

ขั้นตอนการ Upload รูปภาพลง Facebook

ทำตลาดบน...facebook ตอนที่ 2

ทำตลาดบน...facebook ตอนที่ 1

การทำการตลาดด้วยFacebook

นิยามธุรกิจเครือข่ายดีๆ

หนังสั้นธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์

กล้วยหอมยอดผลไม้มหัศจรรย์

สมุนไพรใกล้ตัวแก้โรคน้ำกัดเท้า-ผดผื่นคัน | ไทยโพสต์

สมุนไพรใกล้ตัวแก้โรคน้ำกัดเท้า-ผดผื่นคัน | ไทยโพสต์

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๒.

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๒.

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๑.

ยุทธศาสตร์อาหาร ทางรอดของประเทศไทย ตอนที่ ๑.

เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น - เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น





งานเขียนชิ้นนี้ สิริอัญญาได้เขียนจากบันทึกคำสอนของพระลามะธิเบต ซึ่งได้แนะนำเคล็ดวิชานี้เมื่อครั้งเดินทางไปประเทศจีนเมื่อปี 2538 เป็นเคล็ดวิชาในการฝึกฝนออกกำลังกายของสมอง ประสาท และหลอดเลือด เพื่อสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งป้องกันและบำบัดโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน อัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดแตก ตีบ ตัน

             ซึ่งบางส่วนของเคล็ดวิชานี้ ปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดไพ่นกกระจอกได้นำไปใช้เป็นท่าหยิบไพ่ เปิดไพ่ และตีไพ่ ซึ่งผลวิจัยยอมรับว่าทำให้ไม่เป็นโรคภัยต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วด้วย. 

            พักนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ แทบทุกสัปดาห์มักจะได้ข่าวคราวว่ามิตรคนนั้น ญาติคนนี้มีความไข้เข้าครอบงำ และเป็นความไข้เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตกบ้าง หรือตีบบ้าง หรือขา แขนชา ไม่มีแรงบ้าง
แน่นอนว่าความไข้เหล่านั้นเป็นโรคภัยชนิด หนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต คือเมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้ว ความชราก็ครอบงำเรื่อยไปตั้งแต่เกิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตาย และระหว่างนั้นก็อาจมีความเจ็บป่วยหรือพยาธิเข้าแทรก ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีก

เป็นธรรมดาของชีวิตที่ชรา และพยาธิต้องครอบงำ เพราะทั้งสองอย่างนี้คืออุ้งหัตถ์ของมัจจุราชที่จะมาคร่าชีวิตไปสู่ความตาย ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้เลย

แต่ เมื่อทุกคนจะต้องตายแล้วก็ควรที่จะหาทางตายให้สบาย ๆ สักหน่อย ให้มีความทุกข์ทรมานน้อยสักหน่อย โดยเฉพาะความป่วยไข้หรือพยาธิที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขา อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรงหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั้น ทำให้ตายอย่างทรมานและทำให้ผู้คนในครอบครัวเดือดร้อนมากและน้อยตามเวลาที่ ต้องรักษาพยาบาล
           ยกเว้นก็แต่เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตกแล้วตายไปเลยก็ตายสบายหน่อย เดือดร้อนวุ่นวายน้อยสักหน่อย และผลาญทรัพย์สมบัติน้อยลงหน่อย
           วันนี้จึงจำเป็นที่จะต้องแสดงเรื่องวิชาบางเรื่องที่พอป้องกันแก้ไขหรือ เยียวยาพยาธิหรือความป่วยไข้ที่เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตก ตีบ ตัน หรือแขน ขาไร้เรี่ยวแรงหรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้ ขอท่านทั้งหลายได้สนใจศึกษาพิจารณาและลองฝึกฝนปฏิบัติดู เพราะไม่เสียเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลย
           จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองศึกษาพิจารณาทำความเข้าใจและฝึกฝนดูก่อนก็ได้ ไม่เสียหายอะไรเลย คิดเสียว่าลองของเล่นสนุก ๆ เพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจก็ได้ แต่ถ้าได้มรรคผลขึ้นมาก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพชนิดที่น่าพิศวงทีเดียว
           เป็นผลดีต่อการป้องกันแก้ไขหรือเยียวยาความป่วยไข้หรือพยาธิที่ว่ามาข้างต้น นี้ได้ แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญโขและคุ้มค่ายิ่งแล้ว
           หลักวิชาที่ว่านี้มีชื่อว่า “เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น” ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาโบราณคล้าย ๆ กับหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเส้าหลิน แต่ต่างกันตรงที่มุ่งบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ประสาท และเส้นเอ็น และเนื้อแท้ก็คือการออกกำลังชนิดหนึ่ง แต่ไม่เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเป็นการออกกำลังจากภายใน ทำนองที่หนังสือกำลังภายในเรียกว่าเดินพลังปราณนั่นเอง
           เรารู้จักกันแต่การออกกำลังกายซึ่งเป็นเรื่องของภายนอก ไม่ว่าการวิ่ง การจ็อกกิ้ง การเล่นฟิตเนส การว่ายน้ำ หรืออะไรในทำนองเดียวกันนี้ ล้วนแต่เป็นการออกกำลังกายภายนอกทั้งนั้น
           ในส่วนภายในคือหัวใจ ตับ ไต ปอด ม้าม เส้นเลือดต่าง ๆ และเส้นประสาทต่าง ๆ ไม่ได้ออกกำลังกายตามไปด้วย หรือถ้ามีการขยับขับเคลื่อนบ้างก็เป็นผลต่อเนื่องและบางครั้งก็ได้รับ อันตรายด้วยซ้ำไป
           การออกกำลังจากภายในนั้นเป็นหลักวิชาที่มีมานับพัน ๆ ปี แต่น่าเสียดายที่ไม่แพร่หลายเข้ามายังบ้านเมืองของเรา เพราะถูกอิทธิพลหลักวิชาทางตะวันตกปิดกั้นครอบคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น อย่างมากจึงได้แค่อ่านจากหนังสือกำลังภายในแล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันเป็น อย่างไร หรือไม่ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝันเท่านั้น
           ความจริงมันมีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้แล้วก็รีบชิงปฏิเสธเสีย แล้วถือว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มี ทั้งๆ ที่สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีมากกว่าสิ่งที่รู้สุดจะประมาณนัก
           การป่วยไข้เพราะเหตุเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขาอ่อนกำลัง หรือที่เรียกว่าเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตนั้นเป็นความป่วยไข้ที่มีเถือกเถาเหล่ากอเดียวกัน คือเกิดจากเส้นเลือดหรือหลอดเลือดหรือท่อเลือดโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ สมองหรือส่วนที่เชื่อมใกล้ชิดกับสมองและยังเชื่อมโยงกับเส้นประสาทต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อจากสมองไปยังมือไม้ แขนขา
           ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความแก่ก็ติดตามมาควบคู่กัน ยิ่งกินอาหาร ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ทำให้อายุขัยสั้นลง ไม่ว่าการกินของมันมาก ๆ การพักผ่อนน้อย ๆ การดื่มของเมามาก ๆ หรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไร ๆ มาก ๆ ไม่รู้จักปล่อยปละละวาง ก็จะทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาททั้งหลายเปราะบาง ตีบแคบ หรือมีการอุดตันขึ้น
           ไม่ต้องดูอะไรมาก ให้ดูจากท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกบ้านเรือนก็ได้ พอใช้ไป 2 ปี 3 ปี ก็มีความเกรอะกรัง ทำให้ท่อตีบตันและแตก ฉันใด เส้นเลือดและเส้นประสาทในร่างกายนี้ก็เป็นฉันนั้นไม่ต่างกันเลย
           ท่อประปานั้นมันชำระสะสางความตีบความตันและความเกรอะกรังด้วยตนเองไม่ได้ ต้องอาศัยคนไปชำระชะล้าง ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม หรือเมื่อชำรุดหนักก็เปลี่ยนใหม่ไปเสียเลย
           นั่นขนาดเป็นวัตถุที่คงทนก็ใช้ได้ไม่กี่ปี แต่ร่างกายของมนุษย์เรานี้วิเศษนัก เส้นเลือด เส้นประสาทที่เป็นแค่เนื้อเยื่อ ยืดหยุ่น บอบบาง แต่อยู่กับร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย อาจจะอยู่ได้นานที่สุดถึงกัปหรือ 120 ปีด้วยซ้ำไป จึงนับว่าเป็นส่วนอวัยวะที่แข็งแรงทนทานอย่างยิ่งจนน่าพิศวง
           ความจริงทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความตายสลายไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน เป็นแต่ว่าเราแทบไม่รู้เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เซลล์ต่างๆ ย่อมแก่ตัว ย่อมตายไปและหลุดออกไป แล้วมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นแทนที่เป็นลำดับ ๆ ไป จนกระทั่งเมื่ออายุขัยล่วงไปมาก ๆ เข้าเซลล์ใหม่ก็เกิดน้อยลง แข็งแรงน้อยลง แล้วทำให้อ่อนแอลงโดยลำดับ กระทั่งตาย
           นอกจากนั้น คนเรายังมีวิธีการเอาสิ่งเกรอะกรังหรือทำให้ความตีบตันบรรเทาลงหรือหายไปได้ ไม่ว่าด้วยการใช้ยาหรือด้วยการประพฤติปฏิบัติตนบางประการ ในที่นี้ไม่พูดถึงการใช้ยา แต่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติตน
           เป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่มีหลักวิชาสืบเนื่องมานับพันปีแล้ว เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น แต่ไม่ใช่วิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นโดยตรง เป็นวิชาที่นักบวชในศาสนาพุทธนิกายมหายานใช้กันโดยทั่วไป

           บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายในหรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง แต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก
           ดังนั้นหลักวิชาที่ว่านี้คือการประพฤติปฏิบัติตนด้วยตนเอง ทำแทนกันไม่ได้ ใช้เวลาไม่มาก แต่ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะสัมฤทธิผลเป็นแน่นอน
           เริ่มต้นกันที่เวลาประพฤติปฏิบัติตนตามหลักวิชานี้ก่อน ให้เริ่มทำครั้งแรกตอนตื่นนอน คือไม่ว่าจะตื่นนอนเวลาไหนก็ประพฤติปฏิบัติไป ใช้เวลาสัก 10 นาที หรือ 15 นาที หรืออย่างน้อยแค่ 5 นาทีก็ได้ สุดแท้แต่ความจำเป็นหรือความสามารถจะปฏิบัติได้
           การประพฤติปฏิบัติเมื่อตื่นนอนนั้น ขณะนี้สอดคล้องกับหลักวิชาทางตะวันตกแล้ว เพราะผลการวิจัยทางการแพทย์แผนตะวันตกนั้นพบว่าคนเราตายในเวลากลางคืนถึง 70% ตายในเวลากลางวันแค่ 30%
           ปมเงื่อนของมันคือ ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลานอนนั้นมีมากกว่าเวลา กลางวัน เพราะเมื่อคนเรานอนหลับ น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำ การทำงานของสมองก็ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น คือเหลือเฉพาะส่วนที่เรียกว่าระบบควบคุมสำรองหรือระบบ stand by ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่อวัยวะสำคัญ ๆ อื่นก็จะพักหรือแทบจะหยุดทำงาน
           ครั้นตื่นขึ้นร่างกายปรับสู่ภาวะปกติ หากลุกขึ้นทันทีก็อาจรองรับกับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน และเป็นเหตุให้หลายคนเส้นเลือดในสมองแตกหรือล้มลงหลังจากผุดลุกในทันทีทันใด ที่ตื่น
           ดังนั้นการเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติในทันทีที่ตื่นนอน โดยทำบนที่นอนนั้นจึงเท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแตกหลังตื่นนอน ได้อย่างมีผลยิ่ง และทำให้ร่างกายปรับสภาพจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างค่อย เป็นค่อยไป ยิ่งเป็นคนมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปแล้ว การปรับสภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้คือการป้องกันอันตรายจากการตายแบบฉับพลัน ทันทีได้อีกด้วย
           ดังนั้นจึงพึงตั้งใจเอาไว้ว่าทันทีที่รู้สึกตัวตื่นก็ให้นอนอยู่นิ่ง ๆ ก่อน อย่าเพิ่งผุดลุกผุดนั่งไปไหน เตรียมกาย เตรียมใจที่จะฝึกวิชาที่ว่านี้
           ระยะเวลาที่ฝึกฝนปฏิบัติ ถ้าจะให้ได้ผลดีก็อยู่ระหว่าง 15-20 นาที แต่ถ้าจำเป็นหรือมีภารกิจเร่งด่วนก็ควรทำอย่างน้อยสัก 5 นาที ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ก็จะเห็นผลชัดว่าเมื่อลุกขึ้นก็จะลุกขึ้นอย่างสะดวก สบาย แคล่วคล่อง ว่องไวและมีความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น นั่นเพราะร่างกายมีความพร้อม และได้ปรับสภาพจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างเต็มที่แล้ว
           อยากจะรับรองว่าถ้าทำได้ทุกวัน ๆ ละ 20 นาทีก็จะมีชีวิตยืนยาวอย่างน้อย 80 ปี โดยไม่มีวันที่เส้นเลือดในสมองจะแตกหรือตีบหรือตัน ไม่มีวันที่จะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตเป็นอันขาด หรือถ้าใครเป็นและถ้าฝืนใจกล้ำกลืนปฏิบัติตนให้ได้ ไม่ช้าไม่นานเกิน 6 เดือนดอกก็จะได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่มีความเป็นปกติสุขมากขึ้น
           การปฏิบัติตามหลักวิชานี้ใช้เพียงแค่ฝ่ามือทั้งสองและฝ่าเท้าทั้งสองเท่า นั้น โดยเวลาเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติ ให้นอนหงาย เหยียดเท้าทั้งสองตรง และทอดมือทั้งสองไว้ข้างลำตัวในลักษณะตรง หงายมือทั้งสองขึ้น
           เมื่อนอนนิ่งในลักษณะที่ยืดแขน ขาให้ตรง พร้อมกับหงายฝ่ามือทั้งสองดังกล่าวแล้ว ก็ให้ลองเกร็งแขนทั้งสองก่อนแล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปถึงฝ่ามือทั้งสอง เพิ่มความเกร็งขึ้นเหมือนกับการถือลูกน้ำหนักไว้ในมือ เคลื่อนการเกร็งไปมาสัก 2-3 ครั้ง
           ถัดจากนั้นก็ลองเกร็งขาในลักษณะเดียวกัน คือเกร็งจากโคนขาไปก่อนถึงหัวเข่า ถึงหน้าแข้ง ถึงตาตุ่ม และเท้าทั้งสอง เคลื่อนการเกร็งจนสุดปลายนิ้วเท้าแล้วเคลื่อนกลับทวนขึ้นมา
           ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา แล้วย้อนลงไป เพียงเท่านี้ก็เท่ากับได้ลองกำลังหรือพลังจากภายในกายนี้แล้ว อาจจะรู้สึกเหนื่อยบ้างก็เป็นธรรมดา ซึ่งต้องตระหนักรู้ว่าการเคลื่อนพลังภายในนั้นแม้ใช้เวลาอันน้อยอันสั้น แต่ความเหนื่อยจะเหมือนกับการออกกำลังกายภายนอกมาก ๆ นั่นเอง
           เมื่อพูดถึงเวลาเริ่มต้นการปฏิบัติ ระยะเวลาที่ใช้และการเตรียมดังกล่าวแล้วก็มาถึงกระบวนท่าที่จะฝึกหรือ ปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่ 3 กระบวนท่าง่ายๆ ไม่ยากไม่ลำบากเลย
           กระบวนท่าแรก มีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ”
           กระบวนท่าที่สอง มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
           กระบวนท่าที่สาม มีชื่อเรียกว่า “กรายเล็บกรีดพิณ”. 
  กระบวน ท่าแรกที่มีชื่อว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” นั้น จะต้องทำความเข้าใจถึงที่มาก่อน คือลักษณะของนกอินทรีขยุ้มเหยื่อ หรือเหยี่ยวขยุ้มเหยื่อก็ได้ ว่าประสาททั้งหลายกับกรงเล็บนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร 
            ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยอรรถคดีก็มีบัญญัติว่า ผู้พิพากษาซึ่งจะพิจารณาตัดสินคดีนั้นจะต้องเล็งสายตาและปัญญาสอดส่อง ประเด็นอันพิพาททั้งปวง ตลอดจนข้ออ้างข้อเถียงและพยานหลักฐาน แม่นยำแล้วจึงถลาลงโฉบเอาเหยื่อนั้นไป
            แม้ ในธรรมชาติที่เป็นจริงของอินทรีหรือเหยี่ยวที่จะจับเหยื่อเป็นอาหาร ย่อมบินอยู่ในที่สูง สำรวมประสาททั้งกายให้มีความพร้อมสูงสุด เพ่งสายตาเล็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ ในขณะเดียวกันก็ลู่กรงเล็บแล้วถลาลงไปที่เหยื่ออย่างรวดเร็ว พอได้ระยะอันเหมาะก็กางกรงเล็บอันคมกริบนั้นตะครุบเอาเหยื่ออย่างหนักหน่วง แม่นยำ แล้วโฉบขึ้นไปบนอากาศ
            แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประสาทภายในกับส่วนสมอง และบัญชาการมายังปีก หาง และกรงเล็บ ในขณะเข้าโจมตีก็ลู่กรงเล็บลงเพื่อไม่ให้ปะทะกับอากาศ ครั้นได้ระยะอันเหมาะก็ขยายกรงเล็บและเดินพลังอย่างหนักหน่วง ถลาลงโจมตีเอากรงเล็บขยุ้มจับเหยื่อถลาขึ้นไปบนอากาศ
            ธรรมชาติเป็นเช่นนั้น โบราณาจารย์ทั้งหลายแม้ในวิชาพระธรรมศาสตร์ก็ได้เห็นและเข้าใจธรรมชาตินี้ โบราณาจารย์ทางด้านกำลังภายในก็รู้และเข้าใจในธรรมชาตินี้ จึงปรับแปรมาใช้เป็นกระบวนท่าแรก
            เมื่อ เข้าใจธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างสมอง ประสาท การบังคับร่างกายเคลื่อนพลังปราณ การขยับนิ้วทั้งมือและเท้าดังนี้แล้ว ก็จะรู้และเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานแห่งวิชาพลังภายในกระบวนท่านี้
            จากนี้ไปก็จะเป็นการเริ่มปฏิบัติหรือฝึกปฏิบัติในกระบวนท่าที่หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” 
            เริ่มต้นด้วยการยกมือทั้งสองข้างที่วางราบตรงไว้ข้างลำตัวขึ้นมาไว้ใน ลักษณะตั้งฉากกับลำตัว ข้อศอกชิดลำตัวและติดกับพื้น ตอนที่ยกมือขึ้นมาให้หุบนิ้วทั้งห้า เอาปลายนิ้วจรดกัน แล้วค่อย ๆ เกร็งแขนจากแขนท่อนบนขึ้นไปยังแขนท่อนล่าง ขึ้นไปที่มือและปลายนิ้วทั้งห้า แล้วขยับเคลื่อนการเกร็งโดยลำดับอีกครั้งหนึ่ง ลงไปยังจุดเดิม แล้วเคลื่อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
            ขั้นที่สอง ให้อ้านิ้วทั้งห้าออกในลักษณะกางนิ้ว แล้วงุ้มนิ้วเข้ามาประดุจดังกรงเล็บอินทรี และเกร็งพลังไว้ที่นิ้วทั้งห้า จากนั้นก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้าจนปลายนิ้วทั้งหมดจรดที่ฝ่ามือ
            ขั้นที่สาม คลายนิ้วที่จรดจรดอยู่ที่ฝ่ามือ แล้วค่อย ๆ กางออกไปยังลักษณะแบมือ
            เมื่อกระทำในขั้นที่สามแล้วก็กลับไปเริ่มขั้นที่หนึ่ง สอง และสามใหม่ กระทำเช่นนี้สัก 5 นาที ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกร็งพลังที่โคนขา เคลื่อนไปยังหน้าแข้ง เท้า และปลายนิ้วเท้า ในลักษณะอย่างเดียวกัน แต่คงไม่เหมือนกันแน่เพราะนิ้วเท้าสั้น ไม่อาจกระทำในลักษณะงอแบบขยุ้มได้ ก็ให้กระทำและเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันก็เป็นอันใช้ได้ 
            เมื่อขยับมือและเท้าดังกล่าวแล้ว จากนั้นก็ให้กระทำพร้อมกันทั้งมือและเท้าอีกสัก 5 นาที
            ใน ระหว่างปฏิบัตินั้น อาจจะได้ยินเสียงเส้นเอ็นและข้อกระดูกลั่นดังกรุ๊บกรั๊บ หรือกร๊อบแกร๊บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็อย่าได้ตกใจประการใด ให้สังเกตเสียงดังนั้นให้จงดี
            ถ้าลักษณะของเสียงดังกรุ่บกรุ่บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ ยังมีความเป็นปกติดีเป็นส่วนใหญ่ แต่เส้นเอ็นและพังผืดเริ่มจะติดยึดกันบ้างแล้ว การปฏิบัติเช่นนี้จะส่งผลในภายหน้าให้การติดยึดของเอ็นและพังผืดค่อย ๆ คลายตัว จนมีความเป็นปกติในที่สุด
            ถ้าเสียงดังกร๊อบกร๊อบ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ เริ่มติดยึดหรือติดขัดหรือเกิดความไม่สะดวกขึ้นแล้ว อันเป็นอาการเริ่มต้นของโรครูมาตอยหรือโรคไขข้อ หรือสภาพที่กระดูกเสื่อมไปเพราะอายุขัยที่ล่วงไปก็ได้ ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้อาหารเข้าช่วยบ้าง คือกินอาหารจำพวกที่มีแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้น เพื่อบำรุงกระดูกให้สมบูรณ์แข็งแรง
            แต่ถ้าเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ก็แสดงว่ากระดูกข้อต่างๆ เริ่มบางลง ซึ่งมีมาแต่เหตุสองสถาน คือเพราะความแก่ชราอย่างหนึ่ง หรือเพราะโรคข้อกระดูกที่ทำให้ไขกระดูกไม่สมบูรณ์ เปราะบาง จึงเกิดเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อบำรุงกระดูกอย่างจริงจังให้มาก ขึ้น
            แต่พึงระวังว่ายาบำรุงกระดูกทุกชนิดมีผลข้างเคียงมาก อาจเกิดโรคกระเพาะ ลำไส้ หรือแพ้ยาจนตายไปเลยก็ได้ และถ้าตัดใจได้ว่าจะเยียวยาโดยวิถีธรรมชาติก็หมั่นกินอาหารที่บำรุงกระดูก ดื่มน้ำสะอาด หรือปฏิบัติตนโดยการดื่มน้ำ 5 แก้วก็จะยิ่งได้ผลดี เห็นทีจะฟื้นฟูให้ดีได้ หรืออย่างร้ายอาการก็จะไม่ทรุดในระดับเดิม
            ระยะ เวลาปฏิบัติ 5 นาทีหรือ 10 นาทีในท่านี้ ให้สังเกตดูโดยแยบคายก็จะพบว่าอาการตึงหรือความเครียดหรือความติดขัดบริเวณ ต้นคอหรืออาการปวดบริเวณศีรษะจะเหมือนมีอะไรมากระตุ้นปรี๊ดปรี๊ด หรือจี๊ดจี๊ด สักครู่หนึ่งก็จะค่อยบรรเทาเบาลงไป
            ในกรณีรู้สึกปวดจี๊ดที่ศีรษะ แสดงว่าการเกร็งกำลังอาจจะมากเกินไป ดังนั้นในระยะต้นก็ให้ผ่อนการเกร็งลงมาสักหน่อยหนึ่ง อาการปวดจี๊ดที่ศีรษะก็จะบรรเทาลง จากนั้นจึงค่อย ๆ เพิ่มพลังขึ้นโดยสอดคล้องกับความรู้สึกเจ็บจี๊ดจี๊ดที่น้อยลงนั้น 
            หากมีอาการเช่นนี้ก็จงรู้เถิดว่ามันมีอะไรมาอุดหรือเกรอะในท่อหรือเส้น เลือดในบริเวณสมองแล้ว แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจ เพราะนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าพลังที่ขับเคลื่อนไหนั้นเริ่มกระตุ้นให้สิ่ง ที่ติดขัดหรือเกรอะกรังหรือตีบตันค่อยๆ ทะลุทะลวงเป็นลำดับ ๆ ไป
            เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็อย่าเป็นคนใจร้อนด่วนหาย เพราะความใจร้อนนั้นไม่เป็นคุณประโยชน์อันใดเลย ทำความเข้าใจเสียว่ายังมีเวลาอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องรีบต้องร้อน ถ้านึกสนุก ๆ ก็นึกเสียว่าเราจะปฏิบัติรักษาตัวแบบนี้ไปสัก 50-60 ปีก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะมีความหมายอยู่ในตัวว่าจะยังไม่ตายใน 50-60 ปีนี้ นี่เป็นเรื่องกล่าวสนุก ๆ เล่น ๆ เพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกปฏิบัติเท่านั้น
            เพียง ไม่ถึง 5 นาทีที่ปฏิบัติก็จะรู้สึกเหนื่อย บางครั้งก็มีเหงื่อออก เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอวัยวะภายในได้รับการออกกำลังด้วยวิธีการเดิน พลัง ซึ่งเป็นทำนองเดียวกับการออกกำลังภายนอก
            เป็นแต่ว่าการออกกำลังในภายในนี้มันมีผลกระทบและเกิดโดยตรงขึ้นกับหัวใจ ปอด ตับ ไต สมอง และประสาททั้งมวล ดังนั้นแม้แค่เวลา 5 นาทีก็มีผลไม่ต่างกับการ จ็อคกิ้งหรือวิ่งรอบสนาม 30 นาทีเลย
            เริ่มต้นทำได้อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี ย่อมมีผลมาก เมื่อหมั่นทำทุกวันเข้าก็จะได้รับผลและอานิสงส์ของการปฏิบัติตนเป็นลำดับ ๆ ไป จนในที่สุดสิ่งที่เคล็ดขัดยอดหรือติดขัดในกาย หรือสิ่งที่ตีบตันเกรอะกรังอยู่ในประสาทหรือเส้นเลือดหรือท่อเลือดต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ สร่างหายไปจนเป็นปกติ
            การปฏิบัติอย่างนี้มีเป้าหมายทำให้กายนี้มีความเป็นปกติตามสภาพที่พึงเป็น เพราะถึงเป็นวิชาที่ล้ำเลิศประการใดก็ไม่อาจล่วงพ้นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ได้ คือไม่อาจห้ามหรือหนีความชราไปได้เลย แต่ว่าให้มันช้าสักหน่อย จนอายุค่อย ๆ เคลื่อนไปใกล้กัปหรือถึงกัปนั่นแล
            ไม่เกินเดือนหรือ 45 วันดอก ก็จะรู้สึกว่าร่างกายมีความเบา มีความคล่องตัว หูตา การเคลื่อนไหวฉับไวขึ้น แม่นยำขึ้น อาการปวดศีรษะหากเคยเป็นก็จะหายไป อาการติดขัดตามคอ ตามไหล่ แขน ขา หรือเท้าก็จะหายไป นี่เรียกว่าได้นำพากายนี้ให้ถึงซึ่งความเป็นปกติแล้ว
            แต่ เท่านั้นก็ยังคงไม่พอ สำหรับผู้ที่มีความปรารถนาให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้นก็ปฏิบัติให้สูงขึ้น ได้อีก ทำนองเดียวกับหลักปฏิบัติในวิชาพลังเอกธาตุ คือหลอมกาย ใจ และปราณ ให้เป็นหนึ่งเดียว
            หมายความว่าเมื่อฝึกฝนและปฏิบัติจนมีความชำนาญ ร่างกายเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว ก็ใช้โอกาสนั้นฝึกปราณและฝึกใจในระดับที่สูงขึ้นไปด้วย ก็จะได้รับอานิสงส์อันประเสริฐ สมกับที่ได้เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์
            เริ่มต้นด้วยการประสานกายกับปราณก่อน นั่นคือเมื่อขยายนิ้วมือออกก็ให้หายใจออกให้หมดปอด เวลาขยุ้มนิ้วมือก็ให้หายใจเข้าให้เต็มปอด พยายามรักษาความสม่ำเสมอของระยะการขยายหรือการขยุ้มมือกับระยะการหายใจให้ สอดคล้องต้องกัน
            หายใจออกหมดปอดเมื่อใด นิ้วมือก็กางขยายเต็มที่เมื่อนั้น 
            หายใจเข้าเต็มปอดเมื่อใด นิ้วมือก็ขยุ้มเข้ามาจนจรดฝ่ามือเมื่อนั้น
            นี่คือหลักการประสานกายและปราณให้เป็นเอกภาพ ตามหลักวิชาพลังเอกธาตุ
            จากนั้นก็ผนึกจิตหรือใจกับกายและปราณให้เป็นเอกภาพต่อไป โดยสละละวางความนึกคิดทั้งปวงเสีย หันมาสนใจเพ่งเล็งอยู่ที่ปลายนิ้วมือหรือที่ปลายจมูกก็ได้เพียงจุดเดียวตลอด ระยะเวลาที่หายใจออกและหายใจเข้า
            ฝึกฝนจนชำนาญก็จะเกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเอกภาพระหว่างกาย ใจ และปราณ ซึ่งก็คือการบรรลุถึงขั้นสูงประการหนึ่งในการฝึกพลังเอกธาตุด้วย 
            ต่อไปก็จะเป็นกระบวนท่าที่สอง ที่มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
            การเลียนแบบธรรมชาติของสัตว์โดยเฉพาะเสือนั้นมีมาช้านานและถูกนำไปใช้ใน หลักวิชาหลายแขนง ดังเช่นในตำราพิชัยสงครามก็มีวิธีจัดตั้งค่ายและวางรี้พลในลักษณะท่าทางของ เสือ ในการฝึกวิชายุทธ์ของสำนักเส้าหลินและอีกหลายสำนักก็ใช้กริยาอาการตาม ธรรมชาติของเสือมาเป็นพื้นฐานการฝึกฝน
            การฝึกฝนปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองนี้ก็มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติประการหนึ่ง ของเสือ คือเป็นปกติของสัตว์ทั้งหลายที่มักจะมีสัตว์เล็ก ๆ เบียดเบียน เช่น เห็บ เหาหรือหมัด ซึ่งจะเกาะอาศัยอยู่ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วกัดกินดูดเลือดของเสือ ทำให้เกิดความรำคาญ เป็นที่มาแห่งโรค และบางครั้งก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ความตายได้ด้วย
            กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ” ก็คือการนำพื้นฐานจากการที่เสือใช้อุ้งตีนบดขยี้บี้เห็บ เหา หรือหมัดนั่นเอง 

  


โรคอ้วน...ปัญหาใหม่ของคนไทย

โรคอ้วน...ปัญหาใหม่ของคนไทย

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ

ลำนำชีวิตของทุกคน

ลำนำชีวิตของทุกคน

วันพุธที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

mony.flv

VTS 04 1

VTS 05 1

VTS_01_1.flv

VTS_01_1.flv

r 03-04-53.mp4

เงินสี่ด้าน

มโชคดีที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้
หลังจากยืนอ่านที่ร้านหนังสือ
ถูกใจจนคิดว่าทนไม่ไหว เลยซื้อเก็บไว้ดีกว่า
แนวทางความคิดของหนังสือเล่มนี้
ไม่ได้สั่นสะเทือนความคิดของผมไปจากเดิมมากนัก
แต่กลับมีพลังอย่าง ล้นเหลือ
ในการช่วยยืนยันแนวคิด แนวทางการทำงานที่ผ่านมา
เป็นทั้งประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งในชีวิต
และจะยังเป็นอนาคตอันใกล้ที่กำลังจะมาถึง

"เงินสี่ด้าน" เป็นหนังสือซีรีส์เดียวกันกับ "พ่อรวยสอนลูก"
ผู้เขียนเป็นคุณ โรเบิร์ต คิโยซากิ คนเดียวกัน
แก่นของเรื่อง คือ การพยายามอธิบายความหมาย
และการเดินทางข้ามฟากสะพาน
จากด้านซ้าย ( E S ) ไปยังด้านขวา ( B I )
ของเงินสี่ด้าน
ซึ่งเปรียบเสมือนสะพานสู่ "อิสรภาพทางการเงิน"

E B
S I

E (Employee) - ลูกจ้าง
S (Self-employed) - คนทำธุรกิจส่วนตัว
B (Business Owner) - เจ้าของกิจการ
I (Investor) - นักลงทุน

สรุปโดยย่อ ให้ฟังกันสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ ดังนี้ครับ

E (Employee) - ลูกจ้าง
ถือคำว่า "มั่นคง" "ผลประโยชน์" เป็นสำคัญ

ความคิด และ คำพูดของ "ลูกจ้าง" - "ฉันอยากได้งานที่มั่นคง เงินเดือนดีๆ หรือถ้ามีโบนัสให้ มีสวัสดิการดี หลักประกันค่ารักษาพยาบาลครบยิ่งดี ฯลฯ หรือถ้ามีโอกาสเลือกได้ เลือกเป็นบริษัทใหญ่ๆ หรือ องค์กรใหญ่ๆ บริษัทต่างชาติ ที่มีโอกาสก้าวหน้ามากกว่า จะดีกว่า "


S (Self-employed) - คนทำธุรกิจส่วนตัว
คนกลุ่มนี้จัดอยู่ในประเภท "ฉันทำเอง" ไม่ชอบขึ้นกับใคร เมื่อทำงานหนัก ก็หวังจะได้รับค่าตอบแทนคุ้มกับงานนั้นๆ ไม่ต้องการให้ใครมาควบคุมรายได้ของตัว โดยเฉพาะจากคนที่ทำงานน้อยกว่า
ขณะ ที่ "ลูกจ้าง" กำจัดความกลัวด้วยความ "มั่นคง" "คนทำธุรกิจส่วนตัว" มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป แทนที่จะวิ่งหาความมั่นคง พวกเขาจะพยายามควบคุมสถานการณ์โดยทำทุกอย่างด้วยตนเอง
"คนทำธุรกิจส่วนตัว" มักจะเป็นพวกที่ชอบให้ทุกอย่างดีที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด เขาเชื่อว่าไม่มีใครทำได้ดีเท่า เพราะฉะนั้นเขาจึงชอบทำอะไรด้วยตนเอง
สำหรับคนกลุ่มนี้ เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงาน แต่เป็นการมีอิสระในวิธีทำงาน และการที่มีคนนับถือฝีมือของเขา สองอย่างนี้สำคัญมากยิ่งกว่าเงินที่ได้

ความคิด และ คำพูดของ "คนทำธุรกิจส่วนตัว" - "เดือนเมษาปีที่แล้วผมทำกำไรได้มากกว่า 80,000 บาท รวมยอดทั้งปีของปีที่แล้วน่าจะได้มากกว่า 550,000 บาทขึ้นไป แล้วปีนี้น่าจะโตขึ้นไปอีก ค่าเฉลี่ยผลกำไรที่ผมหวังไว้ไม่มากเกินความเป็นจริงนักน่าจะอยู่ที่มากกว่า 55000/เดือน"


B (Business Owner) - เจ้าของกิจการ
เกือบจะตรงกันข้ามกับพวก "คนทำธุรกิจส่วนตัว" เลยทีเดียว เพราะ "คนทำธุรกิจส่วนตัว" หรือ กลุ่ม "ฉันทำเอง" ไม่ชอบมอบหมายงานให้คนอื่นเพราะไม่มีใครทำได้ดีเท่าเขา แต่ "เจ้าของกิจการ" จะเที่ยวหาคนเก่งคนมีความสามารถมาร่วมงาน โดยมีคติประจำใจ "จะทำเองไปทำไมในเมื่อมีคนอื่นทำได้และดีกว่าเสียด้วย"

ความคิด และ คำพูดของ "เจ้าของกิจการ" - "ผมอยากได้พนักงานที่หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสดี มีใจบริการ รักการเรียนรู้ และซื่อสัตย์ มาลงที่สาขาใหม่ซักสามคน พอดีตอนนี้ ผมได้คุยกับว่าที่ผู้จัดการร้านคนใหม่แล้ว ดูหน่วยก้านประสบการณ์เค้าโอเคดีเลย ว่าจะให้มาคุมที่สาขาใหม่ของเรา "


I (Investor) - นักลงทุน
นักลงทุนใช้เงินทำงาน เขาจึงไม่ต้องทำงานเพราะใช้เงินทำงานแทน หรือ การใช้เงินทำเงิน นั่นเอง

ความคิด และ คำพูดของ "นักลงทุน" - "กล้องแคนนอน 450D ตัวนี้ผมได้จากการออมเงินลงทุนทองคำเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว "

เข้าใจง่ายๆ คือ

ลูกจ้าง - ทำงานให้ระบบ
คนทำธุรกิจส่วนตัว - คือระบบ
เจ้าของกิจการ - เป็นเจ้าของระบบ
นักลงทุน - นำเงินมาลงทุนในระบบ

และถ้าเราอยากจะย้ายจากด้านซ้าย (E S) มาอยู่ด้านขวา (B I) ของเงินสี่ด้าน จะต้องทำอะไรบ้าง
คำตอบ ไม่ใช่การกระทำที่ต้องเปลี่ยน
แต่เราต้องเปลี่ยนวิธีคิด เมื่อวิธีคิดเราเปลี่ยน การกระทำเราจะค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปเองนะจ๊ะ :) .