วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2555

ความคิดคือความยิ่งใหญ่สูงสุด

ความคิดคือความยิ่งใหญ่สูงสุด
ตัดตอนจากหนังสือของเดล คาร์เนกี "ศิลปะการผูกมิตรและจูงใจคน"

ความคิดคือความยิ่งใหญ่สูงสุด

"เมื่อ ใดที่คุณก้าวเท้าพ้นประตู ขอให้เชิดคางตั้งศีรษะตรงเป็นสง่า สูดหายใจลึกเต็มปอดพร้อมดื่มกินภายใต้แสงแดดอันสว่างไสว ทักทายเพื่อนด้วยรอยยิ้ม และบรรจงใส่วิญญาณของคุณไว้ในการจับมือทุกครั้ง อย่ากลัวการถูกเข้าใจผิดและอย่าเสียเวลาแม้แต่นาทีเดียวคิดถึงศัตรูของคุณ

พยายาม ย้ำให้หนักแน่นในใจว่าคุณอยากทำอะไร และโดยไม่มีการหันเหออกนอกทาง ขอให้คุณมุ่งตรงไปยังเป้าหมาย จดจ่อสมาธิจิตใจอยู่กับสิ่งอันล้ำเลิศและยิ่งใหญ่ที่คุณอยากทำต่อจากนั้น

เมื่อ วันเวลาค่อยๆผ่านเลยไป คุณจะพบว่าตัวคุณเองได้รับโอกาสไว้มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโอกาสอันจำเป็น สำหรับทำให้ความฝัน ความปรารถนาของคุณเป็นจริงโดยไม่รู้ตัว เฉกเช่นสัตว์เล็กๆตามปะการังที่รับเอาพลังธรรมชาติที่มันต้องการจากสายน้ำไหลหลากโดยไม่รู้ตัว

ขอ ให้ตั้งภาพตัวคุณ ซึ่งเต็มไปด้วยสาระ น้ำใสใจจริง และมีความสามารถอย่างที่คุณปรารถนา เอาไว้ให้มั่นในหัวใจ ความตั้งมั่นไว้นั้นจะเปลี่ยนแปลงคุณให้กลายเป็นคนที่คุณตั้งภาพเอาไว้ ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า

ความ คิดคือความยิ่งใหญ่สูงสุด จงสงวนรักษาทัศนคติมองโลกในแง่ที่ดี ทัศนคติแห่งกำลังใจ ความตรงไปตรงมาและความร่าเริงแจ่มใส การมีความคิดที่ถูกต้องก็คือการสร้างสรรค์ทุกสิ่งออกจากความปรารถนา แล้วทุกๆคำอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความจริงใจก็จะได้รับการตอบสนอง

มนุษย์เราจะเป็นดังสิ่งที่หัวใจของเรากำหนดให้เป็นไป จงเชิดหน้า ตั้งศีรษะตรง เราคือพระเจ้าภายในคราบดักแด้ที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลง"

บทเรียนจากMcDonald

บทเรียนจาก McDonald's..ธุรกิจอาหารที่ให้คุณค่าทางธุรกิจมากกว่าคุณค่าทางโภชนาการ

ธุรกิจ ที่เรียกว่า Junk Food อันดับหนึ่งของโลกอย่าง McDonald's นั้น ได้ให้บทเรียนทางธุรกิจไว้หลายประการ ขอนำบางส่วนมาพูดกันตรงนี้นะครับ

ข้อแรกคือ "ระบบ" ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม

พี่น้องแมคโดนัลด์นำระบบสายพานการผลิตแบบอุตสาหกรรม ที่นายเฮนรี่ ฟอร์ด ใช้ในโรงงานผลิตรถยนต์ของเขา มาใช้ในธุรกิจอาหาร

ตอนที่เขาสองคนเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารครั้งแรกนั้น กระบวนการและวิธีการทำงานในร้านของเขาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากร้านคู่แข่งอื่นๆ

เขา เปิดร้านอาหารประเภทไดรฟ์อิน (Drive-In) โดยเมนูหลักคือแฮมเบอร์เกอร์ (แรกสุดเลยคือฮอตดอก) ก็ประสบความสำเร็จมาก แต่ด้วยภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจ มีการแย่งตัวพ่อครัว และเด็กเสิร์ฟสาวๆ วุ่นวายเต็มไปหมด

ด้วยความเบื่อหน่ายจากปัญหา เขาจึงตัดสินใจปิดร้านชั่วคราว ถ้าเป็นคนปกติทั่วไปก็คงปิดปรับปรุงรูปแบบของร้าน

แต่พี่น้องคู่นี้ปรับแก้ที่ "กระบวนการหลัก" ของการทำงานเลยทีเดียว

ระบบใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความเร็ว ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มปริมาณการผลิตให้เยอะขึ้นไปอีก

เขา ลดจำนวนเมนูอาหารลงเหลือเพียงไม่กี่อย่าง เปลี่ยนส้อม - มีด - จาน ที่เคยเป็นเหล็กหรือกระเบื้องให้อยู่ในรูปแบบใช้แล้วทิ้ง (หรือไม่ต้องใช้เลย)

ที่สำคัญคือเปลี่ยนกระบวนการปรุงอาหาร จากเดิมที่พ่อครัวคนหนึ่งจะทำอาหารตั้งแต่ต้นจนจบ มาเป็นการ "แบ่งหน้าที่กันทำ" (Division of Labour) เฉพาะเจาะจงลงไปเลย

...เช่น มีคนหนึ่งรับผิดชอบการทอดชิ้นเนื้อแฮมเบอร์เกอร์ไปเลย อีกคนหนึ่งก็เอาเนื้อร้อนๆ ที่สุกแล้วมาใส่ในขนมปัง เติมผักและซอส ออกมาเป็นแฮมเบอร์เกอร์สำเร็จ อีกคนก็เตรียมเครื่องดื่มมิลเชค์เชค อีกคนก็รับออร์เดอร์อยู่หน้าเคาน์เตอร์

พี่น้องแมคโดนัลด์เรียกรูปแบบการให้บริการแบบนี้ว่า Speedee Service System

ถือเป็นมิติใหม่ของการให้บริการอาหาร และเป็นจุดเริ่มต้นของรูปแบบร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด

บทเรียนที่สองเกิดขึ้นเมื่อนาย Ray Kroc พบกับพี่น้องแมคโดนัลด์

นาย Ray Kroc ในขณะนั้นเป็นเซลส์แมนขายเครื่องทำมิลค์เชค โดยมีร้านแมคโดนัลด์เป็นหนึ่งในลูกค้า เขาสังเกตเห็นการเติบโตอย่างผิดสังเกตจนเดินทางไปดูให้เห็นกับตา เมื่อเขาเห็นของจริง เขาก็รู้สึกถึงโอกาสอันมหาศาล และจินตนาการไปถึงภาพร้านแมคที่กระจายอยู่ทั่วอเมริกา

"ร้าน อาหารที่ให้บริการแฮมเบอร์เกอร์รสชาติเยี่ยม ราคาถูก ในเวลาอันรวดเร็ว และมีคุณภาพอันเป็นมาตรฐาน นี่ล่ะคือสิ่งที่คนอเมริกันต้องการ" ใครล่ะจะปฏิเสธเขาคงนึกในใจเช่นนั้น

ครอคเจรจากับพี่น้อง แมคโดนัลด์ แลกเปลี่ยนผลประโยชน์บางอย่างเพื่อแลกกับการได้มาซึ่งชื่อของร้าน และระบบการทำงานอันเป็นเอกลักษณ์ของแมคเพื่อนำไปเปิดร้านแมคของเขาเอง ซึ่งพี่น้องแมคโดนัลด์ก็โอเค

นั่นเป็นจุดเริ่มของรูปแบบธุรกิจที่เรียกว่า "แฟรนไชส์" (Franchise)

และ ในกาลต่อมา ตัวครอคเองได้ซื้อกิจการทั้งหมดของแมคต่อจากพี่น้องผู้ก่อตั้ง และใช้วิธีทำ "แฟรนไชส์" เป็นจักรกลหลักในการขยายสาขาแมคโดนัลด์ออกไปอย่างรวดเร็ว

เป็นต้นแบบของการขาย "แฟรนไชส์" ให้แก่ธุรกิจอื่นๆ ได้ศึกษาเป็นตัวอย่าง

นอกจากนั้น นายครอคยังได้สร้างรูปแบบพิเศษอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือเวลาจะขายแฟรนไชส์ให้ใคร แมคโดนัลด์จะเป็นเจ้าของที่ดินผืนนั้น แล้วเก็บค่าเช่าต่อจากผู้ซื้อแฟรนไชส์อีกต่อหนึ่ง

ยิ่งร้านนั้นเติบโตเท่าใด ค่าเช่าที่เก็บก็จะแปรผันตามไปด้วย

จึงอาจกล่าวได้ว่า...แมคโดนัลด์นั้นอยู่ในธุรกิจ "อสังหาริมทรัพย์" ก็ได้

เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น แมคโดนัลด์ก็ได้สร้าง "สัญลักษณ์" มากมายอันเป็นเอกลักษณ์ของร้าน

ตั้งแต่ ตัวเอ็มโค้งทอง โลโก้ของแบรนด์แมค ตัวตลกประจำร้านอย่าง โรนัลด์ แมคโดนัลด์ (ซึ่งพบว่าเด็กอเมริกันเกินร้อยละ 96 จำเขาได้), บิ๊กแมค แฮมเบอร์เกอร์สองชั้น, แฮปปี้มีล ชุดอาหารสำหรับเด็ก ที่ภายในบรรจุของเล่นล่อใจ เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่ดึงลูกค้าเด็กๆ เข้าหาแมคได้มหาศาล, หรืออย่างเฟรนชฟรายด์ ที่แมคขายเยอะจนกระทั่งต้องปฏิวัติรูปแบบการเตรียมวัตถุดิบใหม่ในแบบแช่แข็ง และหั่นสำเร็จ ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม แม้แมคจะขึ้นชื่อเรื่องระบบแค่ไหนก็จะเห็นได้ว่า "ปัจเจกบุคคล" ยังมีอิทธิพลต่อความเป็นความตายของแมคอยู่มากโข

ดูตัวอย่างซีอีโอแมคปะไร ถึงกับต้องดึงนายจิม แคนตาลูโป เข้ามาอีกครั้งหลังปลดเกษียณ เพื่อกอบกู้บริษัท

หรือนายชาร์ลี เบลส์ ผู้บริหารหนุ่มผู้ไปดูแลตรงไหน ตรงนั้นก็เติบโตไปเสียหมด (แต่ก็ต้องมาจากไปก่อนวัยอันควร)

สุดท้าย ผมคิดว่าแมคโดนัลด์กำลังจะสอนให้โลกเห็นถึงการเปลี่ยน S-Curve
หรือ การฝืนวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ จากธุรกิจฟาสฟู้ด (ในความหมายดั้งเดิมคืออาหารไร้คุณค่า) ที่อยู่ในขาลง ก้าวเข้าสู่ธุรกิจฟาสต์ฟู้ด ในความหมายใหม่ (ที่ยังไม่แน่ใจว่าคืออะไรแน่) ที่ต้องคำนึงถึงสุขภาพมากขึ้น เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น

ดูกันครับว่าแมคจะทำสำเร็จหรือไม่อย่างไร

ไม่กินแมคไม่เป็นไร...แต่อย่าปิดกั้นความรู้ที่ได้จากแมค

เพราะแมคโดนัลด์ให้คุณค่าทางธุรกิจ มากกว่าคุณค่าทางโภชนาการหลายเท่านัก





 


คน และ จังหวะเวลา ของธนินทร์

ธนินท์ เจียรวนนท์ เชื่อว่า “คน” สำคัญที่สุด“

จะระบบดีอย่างไร มี Software ดีอย่างไร มีอุปกรณ์ทันสมัยอย่างไร สุดท้ายก็คน พูดไปอย่างไรก็ตาม ถึงสุดท้ายก็ต้องมาลงเอยที่คน

ในประสบการณ์ของผม บางครั้งโชคดี เราได้คนดี แต่ก็คงจะไม่มีโอกาสทุกครั้ง

มีทางเดียวครับ เราต้องวางแผนสร้างคน

การสร้างคน การทำโครงการทุกบริษัท มักจะว่าปีนี้ผมจะลงทุนเท่าไหร่ ผมจะมียอดขายเท่าไหร่

แต่ความจริงพวกเหล่านี้เป็นรอง เราต้องมีคนก่อน

เราจะทำอะไร เราต้องถามว่าเราจะทำธุรกิจอันนี้ เราต้องเตรียมคนพร้อมหรือยัง และต้องไม่ใช่คนเตรียมคนเดียว เก่งคนเดียว

ต้องเก่งทั้งทีม

มีทั้งหน้าบ้าน หลังบ้าน มีทั้งนักวิชาการ บริษัทยิ่งทำธุรกิจยิ่งกว้าง ยิ่งใหญ่ ทีมงานต้องยิ่งพร้อม ส่วนประกอบก็ต้องยิ่งมากขึ้น

ฉะนั้นในยุคสมัยนี้เขาเรียกว่ายุคข้อมูลสื่อสาร แต่ยังไงก็ตาม จะเป็นยุคอะไรก็ตามเราต้องวางแผนสร้างคน
และการสร้างคนเป็นการลงทุนที่สูงมาก แต่ทุกคนก็ไม่ค่อยไปสนใจ

“ถ้าเราสร้างคนใดคนหนึ่ง ตอนที่เขาไปเรียนปริญญาโท พ่อแม่อาจจะต้องส่งเงินให้ปีละถึง 2 ล้านบาท

แต่ เวลาจบแล้วเข้ามาสมัครงานในบริษัท นอกจากเขาไม่ต้องส่งเงินมาให้บริษัท บริษัทเรายังต้องให้เงินเดือนเขา แล้วก็ต้องไปคิดนะครับ ส่งเขาไปดูงานตรงโน้น ฝึกงานตรงนี้จนกว่า 6 เดือน หรือบางท่านเลย 6 เดือน ยังไม่ได้ทำผลงานให้กับบริษัท แต่บางท่านเก่งมาก

ถ้าขืนอยู่ต่อให้กับบริษัทคงจะสร้างเงินให้กับบริษัทเป็นหมื่นล้านก็ได้ เป็นแสนล้านก็ได้

แต่เพราะผู้นำมีแต่สร้างคน เลยไม่ได้ไปดู และทำให้คนที่ Active คนที่มี Power สูง คนที่มีพลังสูง อยากจะรีบแสดง...ลาออกไป”






ใช้คนให้เป็นอย่างคุณธนินทร์ เจียรวนนท์

ท่านประธานธนินท์มัก กล่าวกับผู้บริหารและผู้ร่วมงานในเครือฯอยู่เสมอว่า

"คน ที่จะเป็นผู้บริหารระดับสูงไม่ควรมองที่ จุดด้อยของคนอื่น แล้วมองแต่จุดเด่นของตัวเอง เพราะว่าถ้าพยายามมองจุดด้อยของคนอื่น ก็จะคิดว่าตัวเองเก่งอยู่ทุกครั้งทุกทีไป จึงไม่ได้มีความพยายามปรับตัว เราต้องมองจุดเด่นของคนอื่น แล้วหาทางใช้จุดเด่นของเขาให้เป็นประโยชน์ จึงสามารถทำงานใหญ่ได้"

โดยท่านถือหลักการในการบริหารคนและองค์กรที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่า

"องค์กร ที่ดีต้องประกอบด้วยคน 4 รุ่นคือ รุ่นอายุ 50 ปี รุ่นอายุ 40 ปี รุ่น อายุ 30 ปี และรุ่นอายุหนุ่มสาวที่เพิ่งจบการศึกษา เพราะคนเราต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เก่งอย่างไรก็ต้องมีวันหยุด เมื่อหยุดแล้วจะหาใครมาทดแทน เราต้องมีการสร้างคนอีก 3 รุ่นลงมารองรับไว้ก่อน"

ท่านประธาน ธนินท์ มีเหตุผลว่าธุรกิจจะดำเนินไปได้หรือขยายตัวได้และจะสำเร็จหรือ ไม่อยู่ที่คน ทุกอย่างล้วนมาจากคน เงินก็มาจากคน เทคโนโลยีก็มาจากคน

"ผม ถือว่าคนเป็นทรัพยากรสำคัญที่ล้ำค่าอันเป็นหัวใจของทุกองค์กร เราจึงต้องมีคน ที่มีความรับผิดชอบสูง มีความมานะพยายาม มีความรู้ความสามาถ และมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่ในองค์กรให้ มากๆ จึงจะสามารถนำองค์กรหรือบริษัทไปสู่ความสำเร็จได้"

หากบริษัทอยาก จะเจริญก้าวหน้าอย่างไม่สิ้นสุด ก็ต้องพัฒนาคนไม่มีที่สิ้นสุดเช่นกัน ต้องสร้างคนให้มีคุณภาพ เมื่อมีประสิทธิภาพก็เกิดประสิทธิ ผลในการทำงาน ซึ่งสร้างประโยชน์ทั้งต่อ บริษัท และสังคม

ไม่มีอะไรที่ให้สังคมได้ดีที่สุดเท่ากับการพัฒนาบุคลากรให้มีความสามารถ

ท่านประธานจึงให้ความสำคัญกับคนที่มีความรับผิดชอบสูง มีความอดทนเยี่ยม มีความ ซื่อสัตย์สุจริต และมีความขยันหมั่นเพียรก่อน

เหตุผลคือ หาก "คน" มี 4 ประการแรกแล้ว สามารถพัฒนาตัวเองให้เป็นคนเก่งได้

"มนุษย์เราทุกคนมีความสำเร็จอยู่ในตัวเองทั้งนั้น ชีวิตคนทุกคนต้องมีจุดเด่นที่ สามารถนำพาชีวิตไปสู่ความสำเร็จได้"

"แต่ ที่สำคัญที่สุดก็คือ อย่าเป็นคนที่เหลิง หลงตัวเองว่าเก่ง เพราะวันนี้เก่ง พรุ่งนี้อาจจะไม่เก่งก็ได้ อาจจะมีคนเก่งกว่าเราก็ได้ และถ้าเราเหลิงจะมีแต่ถอยหลัง อย่าลืมว่าโลกของเรามีแต่จะก้าวไปข้างหน้า"

ผู้ บริหารที่จะประสบความสำเร็จนั้น นอกจากตัวเองจะมีความรู้ มีความสามารถในการ ตัดสินใจอย่างถูกจังหวะ รวมถึงมองการณ์ไกลแล้ว ยังต้องได้รับความร่วมมือจากพนักงานในระดับปฏิบัติการอย่างเต็มความสามารถ

นั่นคือการเป็นเจ้านายที่ดีต้องอย่าทำตัวเหมือน "นก" แต่ให้เป็นเหมือน " หนอน"

เพราะ การทำตัวเหมือน "นก" ก็มักแต่ชอบบินสูงอยู่บนฟากฟ้า คิดว่าตัวเองเหนือผู้ อื่นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็อยู่สูงเกินไปจนมองไม่เห็นความเป็นไปบนพื้นดิน
และการที่ ซี.พี.แตกบริษัทย่อย แบ่งกลุ่มธุรกิจออกไป เช่น กลุ่มธุรกิจเกษตร อุตสาหกรรม กลุ่มเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ กลุ่มธุรกิจเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย และเคมีเกษตร กลุ่มธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ ฯลฯ นั้น ก็เป็นวิธีการกระจายอำนาจ กระจายหน้าที่ความรับผิดชอบ กระจายความเสี่ยง และการสร้างคน

"ผมมองคนอื่นว่าเก่งกว่าผมเสมอ ผมไม่เคยมองใครว่าเก่งสู้ผมไม่ได้ สำหรับคนที่ทำงานกับเรา ผมยึดหลักว่าจะต้องเปิดโอกาสให้เขาแสดงความสามารถ เมื่อใครแสดงความสามารถออกมาเราจะต้องส่งเสริมสนับสนุนเขาให้มีตำแหน่งสูงๆ ขึ้นไป เราต้องพยายามรักษาเขาให้อยู่กับเรานานที่สุด เราจะต้องสร้างคนที่มีความสามารถให้เกิดขึ้นมากๆ"

นอกจากนี้ ท่านประธานยังยึดคติพจน์

"ความล้มเหลวคือแม่ของความสำเร็จ"

"ผม ชอบคนที่ทำงานเสียหายแล้วรู้ว่าเสียหายอย่างไร และผมจะให้โอกาสเขาแก้ตัวใหม่ แต่ถ้าทำเสียหายแล้วบอกว่าทำดีที่สุดแล้ว ทำถูกต้องแล้ว แถมยังโยนความผิดไปให้คนอื่น คนอย่างนี้ผมไม่กล้าใช้ให้ทำงานอีกต่อไป"

ยิ่งการจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จนั้น ท่านประธานธนินท์ยังมีมุมมองที่น่าสนใจ

"การ ที่จะทำอะไรให้สำเร็จ อย่าเพิ่งไปคิดว่า เรามีกำไรเท่าไหร่ เราจะได้ผลประโยชน์อะไร เราน่าจะคิดว่างานชิ้นนี้เรามีโอกาสทำได้ดีที่สุดหรือเปล่า แล้วทำสำเร็จได้หรือไม่ เราจะทำงานชิ้นนี้ให้ดีที่สุด เราต้องทำให้ดีกว่าคนอื่น แล้วความสำเร็จจะตามมา"

(จากส่วนหนึ่งใน "มุมคิด" เรื่องคนของ "ธนินท์" ซึ่งหยิบมาจากหนังสือ "36 กลยุทธ์ ธนินท์ เจียรวนนท์" เรียบ
เรียงโดยวิจักษณ์ วรบัณฑิตย์ )  




เมื่อพ่อค้าคนกลางถูกตัดทิ้ง

Channel Conflict คือการที่เจ้าของแบรนด์ตัดตัวกลางซึ่งเป็นคู่ค้าทางธุรกิจออกไป ตัวกลางในที่นี้เป็นได้ทั้งผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก ตัวแทนจำหน่าย และพนักงานขาย โดยที่เจ้าของแบรนด์จะใช้วิธีจำหน่ายตรงไปถึงลูกค้าแทน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะผ่านทางอินเทอร์เน็ต

การ ที่เจ้าของแบรนด์ตัดตัวกลางออกก็เพื่อเพิ่มส่วนต่างระหว่างยอดขายกับต้นทุน (กำไร) ให้สูงขึ้น สมมุติว่าเจ้าของแบรนด์ขายให้ผู้ค้าส่งที่ราคา 40 บาท ผู้ค้าส่งไปขายต่อให้ผู้ค้าปลีกที่ราคา 70 บาท (30 บาทเป็นค่าขนส่งสินค้า ค่าสต็อกสินค้า และกำไร) จากนั้นผู้ค้าปลีกจึงไปขายให้ผู้บริโภคที่ราคา 100 บาท (30 บาทเป็นค่าเช่าพื้นที่วางสินค้า ค่าบริหารงานขาย เช่น ค่าจ้างพนักงานแคชเชียร์ และกำไร)

เปรียบเทียบการขายผ่านตัวกลางและการขายตรง
เปรียบเทียบการขายผ่านตัวกลางและการขายตรง
ต่อ มาเมื่อเจ้าของแบรนด์ตัดพ่อค้าคนกลางออก เจ้าของแบรนด์จะได้ส่วนต่าง 60 บาทกลับคืนมาทันที โดยส่วนหนึ่งจะเอาไปลงทุนกับระบบขายตรงถึงลูกค้า ส่วนหนึ่งลดราคาให้ลูกค้าซื้อได้ในราคาถูกลง และอีกส่วนหนึ่งคือกำไรที่ได้รับเพิ่มมากขึ้น
แต่การตัดพ่อค้าคนกลางออกนั้นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าของแบรนด์จะทำได้ง่ายๆ กรณีศึกษาที่คลาสสิคมากๆ ก็คือ Compaq และ Dell
เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ในยุคที่ Compaq, HP, IBM กำลังรุ่งเรืองกับการขายคอมพิวเตอร์พีซีผ่านทางเครือข่ายค้าปลีกยักษ์ใหญ่ อย่าง Best Buy บริษัทผู้ประกอบคอมพิวเตอร์น้องใหม่อย่าง Dell เพิ่งจะเกิดขึ้นมา
การเป็นน้องใหม่แล้วจะทำให้คอมพิวเตอร์แบรนด์ของ ตัวเองเข้าไปอยู่ในห้างยักษ์ใหญ่ที่มีแต่แบรนด์ใหญ่ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย Dell จึงเลือกวิธีการขายที่ไม่ต้องพึ่งพาเครือข่ายค้าปลีก แต่ใช้วิธีขายตรงถึงลูกค้าผ่านทางโทรศัพท์ Dell ส่งแคตาล็อกให้กับองค์กรต่างๆ เพื่อให้โทรสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ได้ทันที วิธีนี้ทำให้ยอดขายของ Dell เติบโตขึ้นอย่างเงียบๆ
การขายตรงให้กับ ลูกค้าแบบนี้ นอกจากจะทำให้ Dell สามารถเสนอราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่งอย่าง Compaq แล้ว ลูกค้ายังได้รับสินค้าที่ทันสมัยที่สุดด้วย เพราะ Dell จะทำการผลิตก็ต่อเมื่อได้รับคำสั่งซื้อมาแล้ว ซึ่งต่างจาก Compaq ที่ใช้วิธีผลิตก่อน แล้วจึงกระจายสินค้าไปที่ร้านค้าปลีก กว่าสินค้าจะไปถึงผู้บริโภคก็ใช้เวลาเป็นเดือน คอมพิวเตอร์ก็ตกรุ่นแล้ว
เปรียบเทียบการขายผ่าน Best Buy ของ Compaq กับการขายตรงของ Dell
เปรียบเทียบการขายผ่าน Best Buy ของ Compaq กับการขายตรงของ Dell
พอ ถึงยุคของอินเทอร์เน็ต Dell ได้พัฒนาเว็บไซต์สำหรับสั่งซื้อคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ซึ่งทำให้ Dell ยิ่งก้าวกระโดดได้เร็วขึ้นอีก Dell ขายคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บไซต์ตัวเอง ราคาถูกกว่านับร้อยเหรียญ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์สเป็กเดียวกันของ Compaq ที่วางขายใน Best Buy แบบนี้ลูกค้าคนไหนจะไม่ชอบ
ถามว่าทำไม Compaq ไม่ขายตรงแบบ Dell บ้างล่ะ?
คำ ตอบก็คือ Compaq มีคำว่า Channel Conflict ค้ำคออยู่นั่นเอง ถ้า Compaq ขายตรงในราคาที่ต่ำกว่าขายตามร้าน เจ้าของร้านก็จะไม่พอใจ Compaq อย่างแน่นอน ซึ่งรายได้หลักของ Compaq ก็มาจากร้านเหล่านี้ ที่ไม่ได้ขายแต่คอมพิวเตอร์พีซีเพียงอย่างเดียว แต่ขายเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ของ Compaq อยู่ด้วย ถ้า Compaq เริ่มขายตรง เจ้าของร้านขายปลีกจะเริ่มคว่ำบาตรสินค้า Compaq ซึ่งจะทำให้ Compaq มีปัญหาเรื่องสภาพคล่องทางการเงินทันที เพราะรายได้จากขายตรงก็ยังแค่นิดหน่อย แล้วยังต้องสูญเสียรายได้หลักจากร้านขายปลีกไปอีก แถมในตอนนั้น Compaq เองก็ย่ำแย่อยู่แล้วเพราะเสียส่วนแบ่งการตลาดไปให้ Dell เยอะมาก
ลองมาดูกรณีของ Amazon กันบ้าง ผู้ที่เป็นคู่ค้ากับ Amazon เพิ่งจะได้รับอีเมลข่าวร้ายว่า Amazon จะไม่จ่ายคอมมิสชั่นให้กับคู่ค้าที่มียอดขายจากการใช้ Paid Search หรือที่บ้านเราเรียกว่า PPC (Pay-Per-Click) อย่างเช่น Google AdWords ในการหาลูกค้าอีกต่อไป สิ่งที่ Amazon ทำก็คือการตัดตัวกลางออกนั่นเอง นี่ก็เป็น Channel Conflict เช่นกัน
แต่ Channel Conflict ของ Amazon นั้นต่างจากของ Compaq 3 ประการ
1. เดิมทีรายได้หลักของ Amazon ไม่ได้ผูกอยู่กับคู่ค้าเหล่านี้เพียงอย่างเดียว แต่ Amazon มีรายได้จากการมี Traffic เข้าเว็บโดยตรงอยู่แล้ว
2. Amazon ยังรักษาความสัมพันธ์กับคู่ค้าที่เป็นเจ้าของเว็บและแนะนำลูกค้าจากเว็บตัวเองมาให้อยู่ รายได้ส่วนนี้ก็คงมีไม่น้อย
3. Amazon ได้เข้ามาเป็น “คู่แข่ง” ของคู่ค้า PPC สักพักหนึ่งแล้ว จึงเห็นลู่ทางว่าตัวเองก็สามารถโฆษณาผ่าน Search Engine ได้เองโดยไม่ต้องง้อคู่ค้า เลยขอส่วนต่าง 4% - 15% คืนจากคู่ค้า แล้วเอาส่วนต่างนี้มาโฆษณาบน Search Engine เอง ซึ่งจะทำให้ Amazon มีกำไรมากขึ้น
จะเห็นได้ว่า Amazon แบ่งคู่ค้าออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือคู่ค้าที่เป็นเจ้าของเว็บที่มีคนเข้าเว็บอยู่แล้ว ส่วนอีกกลุ่มคือคู่ค้าที่ส่ง Traffic ให้โดยการซื้อคลิกจาก Search Engine หาก จะเปรียบเทียบ คู่ค้าที่เป็นเจ้าของเว็บก็เหมือนเจ้าของร้านขายปลีกที่ขายคอมพิวเตอร์ให้ Compaq ส่วนคู่ค้า PPC เป็นเสมือนคนยืนแจกใบปลิวที่มีชื่อกับเบอร์โทรอ้างอิงของตัวเองอยู่ตามสะพาน ลอย ไม่ได้มีทรัพย์สินในการทำธุรกิจอะไรเลย
Amazon ตัดตัวกลางที่ใช้ PPC ทิ้ง
Amazon ตัดตัวกลางที่ใช้ PPC ทิ้ง
Amazon เลือกที่จะเป็นมิตรกับร้านขายปลีกไม่ว่าจะเป็นร้านเล็กหรือร้านใหญ่ก็ตาม และเลือกที่จะเป็นปฏิปักษ์กับคนยืนแจกใบปลิว ถึงแม้ว่าคนนั้นจะหาลูกค้ามาให้มากขนาดไหนก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะ Amazon คงจะเปิดร้านขายปลีกเยอะๆ ไม่ไหว แต่สามารถจ้างเด็กแจกใบปลิวที่ค่าแรงถูกกว่าได้
ใครที่ลาออกจากงานมา ทำอาชีพเด็กแจกใบปลิวเพียงอย่างเดียว ช่วงนี้ก็คงลำบากหน่อย ทางเลือกที่มีก็คือเปลี่ยนไปแจกใบปลิวในประเทศอื่นที่ Amazon ยังจ่ายคอมมิสชั่นให้อยู่ (ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็จะโดนแย่งงานเหมือน เดิม) หรือไม่ก็ต้องเริ่มเรียนรู้ที่จะเป็นเจ้าของร้านขายปลีก หรือไม่ก็ไปแจกใบปลิวให้กับสินค้า่ยี่ห้ออื่นไปเลย


คนรวยเรียนรู้และเติบโตอยู่ตลอดเวลา
คนจนคิดว่าตัวเองรู้ดีอยู่แล้ว
ใน ช่วงที่ผม "ถังแตก" ผมโชคดีที่ได้รับคำแนะนำจากเพื่อนมหาเศรษฐีซึ่งนึกเวทนาในสภาพของผม เขาพูดกับผมว่า "ฮาร์ฟ ถ้าคุณยังทำไม่ได้ดีเท่าที่หวัง นั่นหมายความว่ามีบางอย่างที่คุณยังไม่รู้" โชคดีที่ผมใส่ใจกับคำแนะนำนั้นและเปลี่ยนแปลงตัวเองจากผู้ที่ "รู้ดีไปหมดซะทุกเรื่อง" ไปเป็นผู้ที่ "เรียนรู้ทุกอย่าง" และนับจากนาทีนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป

"ถ้าคุณเอาแต่ทำสิ่งที่คุณเคยทำมา คุณก็จะได้แต่สิ่งที่คุณเคยได้ตลอดมานั่นแหละ"

นี่คือเหตุผลที่การเรียนรู้และเติบโตตลอดเวลาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

หนึ่งในคำคมสุดโปรดของผมคือ คำพูดของนักเขียนและนักปรัชญาที่ชื่อ อีริค ฮอฟเฟอรื ซึ่งกล่าวว่า

"ผู้ ที่เปิดใจเรียนรู้จะได้ดำรงอยู่ต่อไป ขณะที่ผู้ที่คิดว่าตนรู้อยู่แล้วจะถูกส่งไปมีชีวิตอย่างสวยงามในโลกที่ไม่มี อยู่จริงอีกต่อไป"

พูดง่ายๆก็คือ ถ้าคุณไม่เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา คุณก็จะถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

เท่า ที่ผมรู้ วิธีเดียวที่จะทำให้คุณมีเงินตามต้องการก็คือ การเรียนรู้วิธีเล่นเกมการเงินทั้งภายในและภายนอก คุณต้องเรียนรู้ทักษะและกลยุทธ์ในการเร่งรายได้ รู้วิธีบริหารเงิน และนำมันไปลงทุนให้ได้ผล

คำจำกัดความของคำว่า "ดันทุรัง" คือการทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำซากและคาดหวังว่าจะได้รับผลลัพธ์ที่ต่างออกไป ฟังนะครับ ถ้าสิ่งที่คุณทำมาเป็นวิธีที่ดีอยู่แล้วจริงๆ คุณก็คงรวยและมีความสุขไปเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่เห็นด้วยขึ้นมาล่ะก็ สิ่งนั้นคงเป็นแค่ข้ออ้างหรือคำแก้ตัวเท่านั้น

"ผู้เชี่ยวชาญทุกคนล้วนเคยผ่านความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่ามาก่อน"

ไม่ มีใครเกิดมาเป็นอัจฉริยะเรื่องเงินตั้งแต่ออกจากท้องแม่ คนรวยทุกคนล้วนต้องเรียนรู้วิธีประสบความสำเร็จในเกมการเงินและคุณก็สามารถ ทำได้เช่นเดียวกัน จำไว้ว่า คำขวัญประจำใจคุณคือ ถ้าพวกเขาทำได้ ฉันก็ต้องทำได้!

"ตัวตนของคุณจะปรากฏในทุกแห่งหนที่คุณไป"

ถ้า คุณพัฒนาตนเองจนประสบความสำเร็จทั้งทางด้านบุคลิกและความคิด มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะประสบความสำเร็จได้ในทุกด้านและทุกๆ อย่างที่คุณทำ คุณจะได้อำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจ คุณจะได้พลังจากภายในและสามารถเลือกทำงานใดๆ ธุรกิจใดๆ หรือลงทุนด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม ด้วยความมั่นใจว่าคุณจะประสบความสำเร็จ นี่คือสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้

อย่างไรก็ตาม ผมขอเตือนว่า ถ้าคุณไม่ได้พัฒนาตนเองแต่คุณบังเอิญทำเงินได้มาก ก็ย่อมเป็นไปได้มากที่โชคเข้าข้างคุณและก็เป็นไปได้มากเช่นเดียวกันที่คุณจะ สูญเสียเงินเหล่านั้นไป

แต่ถ้าคุณกลายเป็น ผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งภายในและภายนอก ไม่เพียงแต่คุณจะหาเงินได้มากขึ้นเท่านั้น แต่คุณยังจะเก็บออมเงินไว้ได้และทำให้มันงอกเงยขึ้นมาได้อีกด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะมีความสุขอย่างแท้จริง

คนจนและชนชั้นกลางเชื่อว่า "ถ้าฉันมีเงินมากๆ ฉันก็จะสามารถทำในสิ่งที่ฉันต้องการและเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้"

ส่วน คนรวยเข้าใจว่า "ถ้าฉันกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร้จ ฉันจะสามารถทำในสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้มีในสิ่งที่ฉันต้องการ รวมไปถึงเงินจำนวนมากๆด้วย"

สรุป ได้ว่า ความสำเร็จไม่เกี่ยวกับสิ่งที่คุณ "มี" แต่เกี่ยวกับ "คน" ที่คุณเป็น ข่าวดีก็คือ คุณสามารถฝึกฝนและเรียนรู้เพื่อเป็น "คนๆนั้น" ได้

คน รวยคือผู้เชี่ยวชาญในงานที่ตัวเองทำ ชนชั้นกลางคือพวกที่ทำงานของตัวเองได้ดีในระดับปานกลาง และคนจนคือพวกที่ทำงานของตัวเองไม่ได้เรื่องเลย คุณทำสิ่งที่คุณทำอยู่ได้ดีแค่ไหน? คุณเก่งแค่ไหนในธุรกิจที่คุณทำอยู่? ถ้าอยากรู้คำตอบให้แน่ชัด ก็ลองดูเช็คเงินเดือนของคุณสิ มันจะบอกคุณได้ทุกอย่าง เพราะการจะได้รับเงินมากที่สุด คุณต้องเป็นคนเก่งที่สุด

ในเรื่องของการเรียนรู้ คุณควรสังเกตไว้ด้วยว่าไม่เพียงแต่คนรวยจะขยันเรียนรู้อย่างต่อเนื่องเท่า นั้น พวกเขายังเลือกที่จะเรียนรู้จากผู้ที่อยู่ในจุดซึ่งพวกเขาต้องการไปให้ถึง

คนรวยรับคำแนะนำจากคนที่ร่ำรวยกว่าตนเอง คนจนรับคำแนะนำจากเพื่อนฝูง ซึ่งก็ถังแตกพอๆ กัน

ผม ยืนยันให้คุณมุ่งมั่น จริงจัง และทุ่มเทพลังให้กับการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และในขณะเดียวกัน ก็ให้ระมัดระวังว่าจะเลือกเรียนรู้จากใคร ถ้าคุณเรียนรู้จากพวกที่ถังแตก แม้เขาคนนั้นจะเป็นที่ปรึกษา ผู้ฝึกสอน หรือนักวางแผน สิ่งเดียวที่พวกนั้นจะสอนคุณได้ก็คือ...ทำอย่างไรให้ถังแตก!

เส้น ทางความสำเร็จในการปีสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์มีอยู่ฉันใด หนทางและกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างรายได้ที่งดงาม อิสรภาพทางการเงิน และความมั่งคั่งก็มีอยู่ฉันนั้น คุณต้องเต็มใจเรียนรู้และนำวิธีเหล่านั้นมาใช้ในชีวิต

ผม ขอแนะนำให้คุณแบ่งเงิน 10% จากรายได้ ใส่ไว้ในบัญชีงบประมาณเพื่อการศึกษา แล้วคุณจะมีงบประมาณเพียงพอสำหรับการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง แทนที่จะพร่ำบ่นตามคำพูดซ้ำซากของคนจนที่ว่า "ฉันรู้แล้ว"

ยิ่งคุณเรียนรู้มากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะหาเงินได้มากขึ้นเท่านั้น...และเก็บสะสมเงินได้มากขึ้นด้วย!

- ฝากไว้ -

จบ แล้ว สำหรับ 17 วิธีคิดสู่ความมั่งคั่ง ขอบคุณที่ตามอ่านมาตลอด ใครชอบบทไหนเป็นพิเศษบอกกันมั่ง แล้วไว้จะนำเรื่องดีๆมาฝากกันอีก ส่วนใครอ่านแล้วชอบ สนใจอยากได้หนังสือดูตามรายละเอียดข้างล่างได้เลย



คนรวยมุ่งไปข้างหน้าแม้จะหวาดกลัว
คนจนปล่อยให้ความกลัวหยุดยั้งตัวเอง
การกระทำคือ "สะพาน" เชื่อมระหว่างโลกภายนอกและโลกภายใน(จิตใจ)

ความ กลัว ความไม่แน่ใจ และความกังวล เป็นอุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่ในแง่ของความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสุดของคุณด้วย เพราะฉะนั้น หนึ่งในข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุดระหว่างคนรวยกับคนจนก็คือ

คนรวยเต็มใจลงมือทำแม้จะหวาดกลัว แต่คนจนปล่อยให้ความกลัวขัดขวางพวกเขา

ความ ผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ที่สุดของคนส่วนใหญ่ก็คือการรอให้ความกลัวลดน้อยลงหรือ จางหายไปก่อนจะเริ่มลงมือทำ และคนเหล่านี้ก็มักลงเอยด้วยการนั่งรอตลอดไป

นักรบที่แท้จริงต้องสามารถ "ทำให้งูเห่าแห่งความกลัวเชื่องลงได้" เราไม่ได้บอกว่าให้คุณฆ่างูตัวนั้น และไม่ได้บอกให้กำจัดมันทิ้งไป และที่แน่ๆก็คือ เราไม่ได้บอกให้คุณวิ่งหนีมัน เราบอกให้คุณฝึกงูเห่าตัวนั้น "ให้เชื่อง"

เนื่อง จากมนุษย์ทุกคนล้วนมีนิสัยติดตัว เราจึงต้องฝึกลงมือทำแม้จะหวาดกลัว แม้จะกังขา แม้จะกังวล แม้จะไม่แน่ใจ แม้จะไม่สะดวก แม้จะอึดอัด และแม้ว่าเราไม่มีอารมณ์อยากจะทำ

อะไรก็หยุดยั้งคุณได้ทั้งนั้น ทุกอย่าง ไม่ใช่เพราะขนาดของปัญหา แต่เป็นเพราะขนาดของตัวคุณเอง!

ถ้าคุณต้องการสร้างฐานะหรือความสำเร็จ คุณต้องทำตัวเป็นนักรบ คุณต้องเต็มใจที่จะทำทุกอย่างที่ต้องทำ

คุณต้อง "ฝึก" ตัวเองไม่ให้มีสิ่งใดมาหยุดยั้งคุณได้

หนึ่งในกฎของการเป็นนักรบคือ

"ถ้าคุณเต็มใจจะทำแต่เรื่องง่าย ชีวิตจะกลายเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณเต็มใจทำแต่เรื่องยาก ชีวิตจะกลายเป็นเรื่องง่าย"

คนรวยไม่ตัดสินใจทำอะไรเพราะเห็นแก่ความง่ายดายหรือความสะดวก วิถีชีวิตแบบนั้นมีไว้สำหรับคนจนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่เท่านั้น

ทำไม การลงมือทำทั้งที่ที่ลำบากถึงสำคัญนัก? นั่นก็เป็นเพราะ "ความสบาย" คือสถานะที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ ถ้าคุณอยากก้าวขึ้นไปอีกขั้นในชีวิต คุณต้องก้าวออกมาจากเขตความสบาย และฝึกฝนตนเองให้ทำในสิ่งที่รู้สึกอึดอัด

ความสบายทำให้คุณรู้สึกอบอุ่น เบาใจ และมั่นคง แต่มันไม่สามารถทำให้คุณเติบโตได้

การเติบโตต้องอาศัยการก้าวล้ำเขตความสบายของคุณออกไป คุณจะสามารถเติบโตอย่างแท้จริงได้ก็ต่อเมื่อคุณก้าวออกนอกเขตความสบายเท่านั้น

ผม ขอถามอะไรสักข้อนึง ครั้งแรกที่คุณพยายามหัดทำสิ่งใหม่ๆ คุณรู้สึกสบายใจหรืออึดอัด แน่นอนว่ามักจะอึดอัด แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นล่ะ? ยิ่งคุณฝึกฝนมาเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งรู้สึกสบายใจกับมันมากขึ้นเท่านั้น ถูกไหม? นั่นล่ะวิถีทางของมัน

ทุกอย่าง ต้องเริ่มจากความอึดอัด แต่ถ้าคุณมุ่งมั่นและทำต่อไป ในที่สุดคุณก็จะก้าวพ้นความอึดอัดนั้นและประสบความสำเร็จในที่สุด จากนั้นคุณก็จะมีเขตความสบายใหม่ที่ขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งหมายความว่า คุณกลายเป็นคนที่ "โตกว่าเดิม"

ขอย้ำอีกครั้งว่า เวลาเดียวที่คุณสามารถเติบโตได้คือชั่วขณะที่คุณรู้สึกอึดอัด ตั้งแต่นี้ไป เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรู้สึกอึดอัด แทนที่จะล่าถอยกลับเข้าไปในเขตแสนสบายที่คุ้นเคย ให้ลูบหลังตัวเองแล้วบอกว่า "ฉันต้องโตขึ้น" และก้าวต่อไปข้างหน้า

ไม่มีใครเคยตายเพราะความอึดอัด

แต่ การใช้ชีวิตแบบยึดติดกับความสบายนี่สิที่ฆ่าไอเดีย โอกาส การลงมือทำ และการเติบโตมานักต่อนัก ยิ่งกว่าสาเหตุอื่นใดทั้งหมดรวมกันเสียอีก

ความสุขไม่ได้มาจากการใช้ชีวิตอย่างสบายๆไปวันๆ พร้อมๆกับนึกสงสัยตลอดเวลาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับชีวิตบ้าง

แต่ความสุขเกิดจากการเติบโตตามอัตราการเติบโตที่ควรจะเป็นและการใช้ชีวิตด้วยศักยภาพสูงสุดของตัวเรา

สมอง ของคุณคือนักเขียนบทละครน้ำเน่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันสร้างเรื่องเหลือเชื่อขึ้นมากมาย โดยวนเวียนอยู่แต่กับเรื่องโศกเศร้าและหายนะ เรื่องของสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นและอาจไม่มีวันเกิดขึ้นเลย

ความคิดของคุณมิได้ควบคุมคุณ คุณต่างหากที่ควบคุมความคิด

แล้ว "การคิดเสริมพลัง" กับ "การคิดเชิงบวก" แตกต่างกันอย่างไร?

ความ ต่างนั้นมีน้อยนิด ทว่าลึกซึ้ง สำหรับผมแล้ว คนเราใช้การคิดเชิงบวกเพื่อแสร้งทำเป็นเหมือนว่าทุกอย่างโรยด้วยกลีบกุหลาบ ทั้งที่พวกเขาเชื่อว่ามันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย

แต่สำหรับการคิด เสริมพลัง เราเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นกลาง ไม่มีสิ่งใดมีความหมายนอกจากความหมายที่เรามอบให้มันเอง และเราสามารถสร้างเรื่องขึ้นมาเองและให้ความหมายกับมัน

จำไว้ว่า คุณมีอำนาจในการควบคุมความคิดของตัวเอง

- ฝากไว้ -

มา ถึงสองบทสุดท้ายแล้วนะ สำหรับบทที่ 16 และบทที่ 17 นี้เป็นบททำแนะนำให้ทุกคนได้ลองอ่านดู เนื้อหามีประโยชน์สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้มาก ใครมีความเห็นยังไงฝากไว้ใน blog ได้เลย ส่วนบทที่ 17 จะกลับมาอัพให้

คนรวยให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวเอง
คนจนทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน
ถ้า คุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณคงเติบโตขึ้นมาโดยถูกสั่งสอนให้ "ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน" ในทางตรงกันข้าม เป็นไปได้มากทีเดียวว่าคุณคงไม่เคยถูกสอนว่า "การใช้เงินทำงานหนัก" ให้คุณก็สำคัญไม่แพ้กัน

ควรรวยมีเวลาเล่นสนุกสนานและพักผ่อนเพราะพวก เขาทำงานอย่างชาญฉลาด พวกเขาเข้าใจและนำหลักการเพิ่มค่าของเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ พวกเขาจ้างคนมาทำงานและยังใช้เงินของตนทำงานแทนด้วย

คน รวยเข้าใจว่า "คุณ" ต้องทำงานหนัก จนกระทั่ง "เงิน" ของคุณสามารถทำงานหนักให้คุณได้ และตัวคุณเองก็ไม่จำเป็นต้องทำงานอีกต่อไป พวกเขาเข้าใจว่า ยิ่งเงินของคุณทำงานหนักเท่าไหร่ ตัวคุณจำเป็นต้องทำงานน้อยลงเท่านั้น

ขอย้ำอีกครั้งว่า ก่อนอื่นคุณต้องทำงานหนักเพื่อหาเงิน แล้วจึงให้เงินทำงานหนักเพื่อตัวคุณเองบ้าง

ใน การสัมมนาของผม เกมการเงินของเรามีเป้าหมายเพื่อให้ "ไม่ต้องทำงานอีกเลย...นอกเสียจากคุณเลือกที่จะทำ" และถ้าคุณต้องทำงาน คุณก็จะทำงาน "ด้วยใจรัก ไม่ใช่เพราะความจำเป็น"

อิสรภาพ ทางการเงินในนิยามของผมคือ ความสามารถที่จะดำเนินชีวิตในรูปแบบที่คุณต้องการโดยไม่จำเป็นต้องทำงานหรือ พึ่งพาคนอื่นในเรื่องเงิน คุณจะมีอิสรภาพทางการเงินเมื่อรายได้งอกเงยของคุณมีจำนวนมากกว่ารายจ่าย

แหล่งที่มาของรายได้งอกเงยอย่างแรกคือ "เงินสร้างเงิน" ซึ่ง ได้แก่ รายได้จากการลงทุน เช่น หุ้น พันธบัตร ตั๋วเงินคงคลัง ตลาดเงิน กองทุนรวม รวมไปถึงทรัพย์สินอื่นๆ ที่ถือว่ามีค่าและแลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้

แหล่งรายได้งอกเงยอีกอย่างคือ "ธุรกิจสร้างเงิน" หรือธุรกิจซึ่งนำมาซึ่งรายได้ต่อเนื่องโดยคุณไม่จำเป็นต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อให้ธุรกิจนั้นสามารถดำเนินการหรือสร้างรายได้ ตัวอย่างเช่น การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ค่าลิขสิทธิ์หนังสือ ดนตรี หรือซอฟท์แวร์ การขายแฟรนไชส์ การให้เช่าโกดังเก็บสินค้า การทำธุรกิจแบบเครือข่าย การลงทุนกับเครื่องขายของหรือหยอดเหรียญต่างๆ ฯลฯ หลักการคร่าวๆคือ การให้ธุรกิจทำงานแทนคุณและสร้างรายได้ด้วยตัวของมันเอง

ผมไม่ได้ กล่าวถึงความสำคัญของการสร้างรายได้งอกเงยมากเกินความเป็นจริงหรอก เพราะถ้าคุณไม่มีรายได้งอกเงย คุณย่อมไม่มีทางเป็นอิสระทางการเงินอย่างแน่นอน

แต่คุณรู้ไห ม่ว่าคนส่วนใหญ่มีปัญหากับการสร้างรายได้งอกเงยมาก เหตุผลมีสามประการ ข้อแรกคือการถูกปลูกฝังตั้งแต่ในวัยเด็ก พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกโปรแกรมมาไม่ให้สร้างรายได้งอกเงย ข้อสอง ไม่มีใครเคยสอนเราว่าจะสร้างรายได้งอกเงยได้อย่างไร ข้อสุดท้าย ในเมื่อเราไม่เคยถูกสอนเรื่องการสร้างรายได้งอกเงยเลย เราจึงไม่ให้ความสนใจกับมัน เรามีรายได้จากการประกอบอาชีพและทำธุรกิจเป็นหลัก แต่ถ้าคุณเข้าใจตั้งแต่ในวัยเด็กว่าจุดมุ่งหมายหลักทางการเงินของเรา คือการสร้างรายได้งอกเงย คุณอาจคิดทบทวนก่อนตัดสินใจเลือกอาชีพก็เป็นได้

คุณ มีสองวิธีให้เลือกในการสร้างความร่ำรวย นั่นคือ คุณต้องมีรายได้มากขึ้น หรือใช้เงินน้อยลง คุณมีอำนาจในการตัดสินใจเลือก อะไรที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณ? คนจนมักเลือกความสุขชั่วครู่ชั่วยาม ขณะที่คนรวยเลือกความสมดุล

บ่อย ครั้งที่ "การใช้เงิน" ทั้งๆที่ "ไม่มี" เป็นเพียง "การระบาย" อารมณ์ที่คุณมีอาการนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วไป่วา การบำบัดด้วยการซื้อ

จง ซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่คุณสามารถซื้อได้ในตอนนี้ ถ้าคุณต้องการเงินทุนมากกว่าที่มี คุณอาจร่วมหุ้นกับคนที่คุณเชื่อใจและรู้จักดีก็ได้ ทางเดียวที่คุณจะมีปัญหาจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็คือ การจ่ายเกินกำลังหรือจำเป็นต้องขายตอนราคาตก อย่างที่เขาพูดกันนั่นแหละว่า "อย่ารอเวลาที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ ซื้อไว้ก่อนแล้วค่อยรอทีหลังจะดีกว่า"

เคล็ด ลับคือการศึกษาค้นคว้า การเรียนรู้เรื่องการลงทุน หัดทำความคุ้นเคยกับวิธีลงทุนและเครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หุ้น กองทุน พันธบัตร การแลกเปลี่ยนเงินตรา ฯลฯ จากนั้นฝึกปรือความสามารถด้านใดด้านหนึ่งให้เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เริ่มต้นลงทุนในด้านนั้นแล้วค่อยหัดลงทุนในด้านอื่นๆ ต่อไป

สรุป ได้ว่า คนจนทำงานหนักและใช้เงินทั้งหมดที่หามาได้ พวกเขาจึงต้องทำงานหนักตลอดไป ส่วนคนรวยทำงานหนัก สะสมเงิน และนำไปลงทุน พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำงานหนักอีก





คนรวยเก่งเรื่องการบริหารเงิน
คนจนเก่งเรื่องการบริหารเงินแบบผิดๆ
คน รวยไม่ได้ฉลาดกว่าคนจน พวกเขาเพียงแต่มีนิสัยในด้านการเงินที่แตกต่างและเอื้อต่อการสร้างความ มั่งคั่งมากกว่า ลักษณะนิสัยดังกล่าวเป็นผลมาจากการอบรมเลี้ยงดูในอดีต ดังนั้น ถ้าคุณบริหารเงินได้ไม่ดี นั่นอาจหมายความว่า คุณไม่ได้ถูกสอนมาให้บริหารเงิน อีกข้อหนึ่งคือเป็นไปได้มากทีเดียวว่าคุณอาจไม่รู้วิธีบริหารเงินอันแสนง่าย ดายและเปี่ยมประสิทธิภาพ โรงเรียนไม่ได้สอนวิชา "ร้อยแปดวิธีการบริหารเงิน" เราเรียนแต่เรื่องสงครามกลางเมืองกู้ชาติ และแน่นอนครับ นั่นเป็นความรู้ที่ผมเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อักโขทีเดียว

คนจนนั้น ถ้าพวกเขาไม่ชอบบริหารเงินด้วยเหตุผลหลักๆ ก็มักหลีกเลี่ยงมันไปเลย ผู้คนไม่ชอบบริหารเงินด้วยเหตุผลหลักๆเพียงสองข้อ

ข้อแรกคือ พวกเขาบอกว่ามันเป็นการจำกัดอิสรภาพ

ผม ขอบอกว่าการบริหารเงินไม่ได้จำกัดอิสรภาพของคุณแม้แต่น้อย...ตรงกันข้าม มันให้อิสระแก่คุณต่างหาก การบริหารเงินจะช่วยให้คุณได้รับอิสรภาพทางการเงินได้ในที่สุด คุณจึงไม่จำเป็นต้องทำงานอีก สิ่งนี้ต่างหากที่เป็นอิสรภาพที่แท้จริงสำหรับผม

ข้อสองคือ พวกที่แก้ตัวว่า "ฉันไม่มีเงินมากขนาดจำเป็นต้องบริหาร"

ที่ถูกต้องพวกเขาควรพูดว่า "เมื่อฉันเริ่มบริหารเงิน ฉันจึงจะมีเงินมาก"

มัน ก็เหมือนกับคนอ้วนที่พูดว่า "ฉันจะเริ่มออกกำลังกายและควบคุมอาหารทันทีที่ฉันลดน้ำหนักได้ยี่สิบปอนด์" ขั้นแรกคุณต้องบริหารเงินที่มีให้ดีเสียก่อน แล้วคุณก็จะมีเงินให้บริหารมากขึ้นไปอีก

กฎของสวรรค์ก็คือ "ถ้าคุณยังไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าคุณจัดการกับสิ่งที่มีอยู่ในมือได้ คุณก็จะไม่ได้รับอะไรเพิ่ม!"

คุณ ต้องบ่มเพาะนิสัยและทักษะในการบริหารเงินก้อนเล็กๆ ก่อนที่จะมีเงินก้อนใหญ่ การบริหารเงินจนกลายเป็นนิสัยย่อมมีความสำคัญกว่าจำนวนเงินที่เราบริหาร

แล้วคุณจะบริหารเงินของคุณอย่างไร? ผมจะให้หลักการสักสองสามข้อเพื่อให้คุณสามารถนำไปใช้ได้

ให้ คุณเปิด "บัญชีอิสรภาพทางการเงิน" ของคุณเพิ่มอีกบัญชีหนึ่ง แล้วฝากเงิน 10% ของทุกบาทที่คุณหามาได้ (หลังหักภาษีแล้ว) ไว้ในบัญชีนี้ เงินส่วนนี้มีไว้เพื่อการลงทุนและซื้อหรือสร้างแหล่งรายได้งอกเงยเท่านั้น ห้ามนำเงินในบัญชีนี้ไปใช้ซื้อของ ใช้ได้เฉพาะการลงทุนเท่านั้น

มี ผู้เข้าร่วมสัมมนาคนหนึ่งถามผมว่า "ผมจะบริหารเงินได้อย่างไรในเมื่อตอนนี้ยังต้องหยิบยืมเงินคนอื่นมาใช้เพื่อ ให้อยู่รอดไปวันๆอย่างนี้?"

คำตอบคือ "จงยืมมาเพิ่มอีกหนึ่งดอลลาร์ แล้วบริหารเงินหนึ่งดอลลาร์นั้น"

เพราะ ในที่นี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่กฎแห่งโลก "ภายนอก" เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกฎแห่งโลก "ภายใน" ด้วย ปาฏิหารย์แห่งการเงินจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคุณแสดงให้สวรรค์เห็นว่าคุณบริหาร เงินของคุณได้อย่างเหมาะสมแล้ว

นอกจากการ เปิดบัญชีอิสรภาพทางการเงินแล้ว คุณควรมีกระปุกอิสรภาพทางการเงินไว้ในบ้าน และหยอดเงินใส่มันทุกวันไม่ว่าจะเป็น 10 ดอลลาร์ 5 ดอลลาร์ 1 ดอลลาร์ เงินเพนนีเดียวหรือเศษเงินก้อนกระเป๋าทั้งหมด

จำนวน เงินไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทำให้เป็นนิสัย เคล็ดลับคือการให้ "ความสนใจ" กับจุดมุ่งหมายที่จะไปสู่อิสรภาพทางการเงินทุกๆวัน

คู่ เหมือนดึงดูดกัน เงินดึงดูดเงิน กระปุกธรรมดาๆของคุณจะกลายเป็น "แม่เหล็กดูดเงิน" เพื่อดึงดูดเงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งโอกาสแห่งการมีอิสรภาพทางการเงินด้วย

นอกจากนี้ คุณควรมีอีกบัญชีไว้เก็บเงินจำนวนเท่าๆ กันสำหรับ "ผลาญ" เล่นเพื่อความสุขส่วนตัวโดยเฉพาะ

หนึ่ง ในเคล็ดลับสำคัญแห่งการบริหารเงินคือควาสมดุล คุณควรเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้สำหรับนำไปใช้ลงทุนเพื่อ ให้เม็ดเงินงอกเงย แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ต้องแบ่งเงิน 10% ของรายได้ใส่ไว้ในบัญชี "ใช้เล่น" ด้วย

เพราะอะไรน่ะหรือ? เพราะธรรมชาติของมนุษย์นั้นเชื่อมโยงถึงกันหมด คุณไม่มีทางสร้างผลกระทบกับด้านใดด้านหนึ่งของชีวิตโดยไม่ส่งผลกับด้านอื่นๆ หรอก ถ้าคุณเอาแต่เก็บออม ในที่สุดจิตใจบางส่วนของคุณที่มองหาความสนุกก็จะบอกว่า "ฉันทนมานานพอแล้ว ฉันควรได้รับความสนใจบ้าง" แล้วก็ล้างผลาญทุกอย่างที่คุณเพียรสะสมมา

กฎเหล็กของบัญชีเงินใช้เล่นคือ เงินที่เก็บไว้ในบัญชีนี้จะต้องถูกนำไปใช้ทุกเดือน

หนทางเดียวที่เราจะเก็บออมเงินได้สำเร็จก็คือ การได้ใช้จ่ายเงินเพื่อความบันเทิงเป็นรางวัลชดเชยสำหรับความพยายามในการเก็บออม

นอกจากบัญชีเงินใช้เล่นและบัญชีอิสรภาพทาการเงินแล้ว ผมขอแนะนำให้คุณเปิดอีกสี่บัญชี เพื่อแยกรายได้ของคุณเก็บไว้ดังนี้

10% ใส่บัญชีเงินออมระยะยาวเพื่อการใช้จ่าย
10% ใส่บัญชีเพื่อการศึกษา
50% ใส่บัญชีเพื่อการใช้จ่ายที่จำเป็น
10% ใส่บัญชีเพื่อการให้


ถ้า คุณบริหารเงินของคุณตามหลักการนี้คุณจะสามารถมีอิสรทางการเงินได้ด้วยรายได้ ไม่มาก ถ้าคุณบริหารเงินได้ไม่ดี แม้จะมีรายได้มหาศาล คุณก็ไม่สามารถมีอิสระทางการเงินได้

เงินเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตของคุณ เมื่อคุณเรียนรู้วิธีควบคุมการเงิน ชีวิตของคุณก็จะดีขึ้นในทุกๆ ด้าน

(จาก หนังสือ "ไขความลับสมองเงินล้าน" (Secrets of the Millionaire Mind) ของ T. Harv Eker จัดพิมพ์โดย สนพ.WeLEARN ราคา169บาท เนื้อหาที่นำมาลงไว้เป็นเนื้อหาที่ถูกตัดตอนมาแค่บางส่วนเท่านั้น ที่เหลือตลอดทั้งเล่มยังมีเนื้อหาดีๆ ให้ได้อ่านกันอีกมาก ถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจสามารถหาซื้อได้ตามร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป )

- ฝากไว้ -
อ่านมาถึงบทที่ 14 แล้ว เป็นไงกันบ้าง? ใครมีความคิดเห็นอย่างไรฝากกันไว้ได้นะ

ถ้า ดูจากในบทนี้จะเห็นว่าเนื้อหาการทำบัญชีที่แนะนำไว้นั้น จาก100% เราจะมีเงินไว้สำหรับใช้เล่น 10% ที่ต้องใช้ให้หมดทุกเดือน กับเงินรายจ่ายที่จำเป็นอีก 50% ส่วนนอกนั้นจะกลายเป็นเงินออมทั้งหมดอีก 40% อยากให้ทุกคนที่อ่านแล้วร่วมกันแสดงความเห็นไว้ใน blog ให้ทีนะ หรือถ้าใครจะเอาไปลองทำแล้วได้ผลยังไงมาบอกกันมั่ง

ส่วนอีก 3 บทสุดท้ายจะทยอยอัพให้ รับรองเนื้อหาเข้มข้นแน่นอน :-
















คนรวยสนใจมูลค่าทรัพย์สิน
คนจนสนใจแต่รายได้จากการทำงาน
เครื่อง วัดความมั่งคั่งที่แท้จริงคือมูลค่าทรัพย์สิน ไม่ใช่รายได้จากการทำงาน นี่คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยน มูลค่าทรัพย์สินคือมูลค่ารวมของทุกสิ่งที่คุณครอบครอง ซึ่งสามารถประเมินได้จากการรวมมูลค่าของทุกอย่างที่คุณเป็นเจ้าของ


มูลค่าทรัพย์สินคือการวัดความมั่งคั่งที่ดีที่สุด เพราะในกรณีที่จำเป็น ทรัพย์สินในครอบครองของคุณสามารถนำมาเปลี่ยนเป็นเงินสดได้

รายได้จากการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็เป็นเพียงหนึ่งในสี่ปัจจัยที่กำหนดมูลค่าทรัพย์สินของคุณ ปัจจัยทั้งสี่มีดังนี้
1.รายได้
2.เงินเก็บ
3.การลงทุน
4.ชีวิตที่เรียบง่าย

รายได้มีอยู่สองรูปแบบคือ รายได้จากการทำงาน และรายได้งอกเงย

ราย ได้จากการทำงานคือเงินที่ได้มาจากการลงแรงทำงาน ซึ่งรวมถึงเงินค่าจ้างจากการทำงานวันต่อวัน หรือสำหรับผู้ที่มีธุรกิจส่วนตัว รายได้ส่วนนี้คือกำไรหรือรายได้จากการทำธุรกิจ รายได้จากการทำงานคือเงินที่คุณต้องเสียเวลาและแรงงานเพื่อให้ได้มา รายได้จากการทำงานเป็นสิ่งสำคัญเพราะถ้าไม่มีมันก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงตัว แปรที่เหลือทั้งสามด้าน

แต่แม้ว่ารายได้จากการทำงานจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเป็นส่วนหนึ่งของสมการมูลค่าทรัพย์สินเท่านั้น

รายได้งอกเงย คือ เงินที่คุณได้มาโดยไม่ต้องลงแรงทำงาน

เงิน ออมก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน คุณอาจหาเงินมาได้ก้อนโต แต่ถ้าคุณไม่เก็บมันไว้บ้าง คุณก็จะไม่มีวันร่ำรวย หลายคนมีแผนผังการเงินไว้สำหรับถลุงเงินที่หามาได้แต่เพียงอย่างเดียว พวกเขาเลือกความพอใจชั่วขณะแทนความสมดุลในระยะยาว นักใช้เงินมีคติพจน์ประจำใจสามข้อ ข้อแรกคือ "มันก็แค่เงิน" ข้อสองคือ "ใช้ไป เดี๋ยวก็หาใหม่ได้" ข้อสามคือ "โทษที ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันถังแตกอยู่"

เมื่อคุณเก็บสะสมเงิน จากรายได้ได้จำนวนหนึ่ง คุณจะสามารถก้าวไปสู่ขั้นตอนต่อไปและทำให้เงินของคุณงอกเงยด้วยการลงทุน ยิ่งคุณลงทุนได้ทีมากเท่าไหร่ เงินของคุณก็จะงอกเงยและเพิ่มพูนมูลค่าทรัพย์สินได้มากขึ้นเท่านั้น

คน รวยทุ่มเวลาและพลังไปกับการเรียนรู้เรื่องการลงทุน พวกเขาภูมิใจในความเก่งกาจด้านการลงทุนของตัวเอง หรืออย่างน้อยก็จ้างนักลงทุนเก่งๆมาลงทุนแทน

ตัวแปรที่เรียกสี่เรียกว่า "วิถีชีวิตที่เรียบง่าย" มี ความสอดคล้องกับการออมเงิน เมื่อคุณเลือกที่จะดำรงชีวิตในแบบที่ใช้เงินน้อยลง ค่าใช้จ่ายต่างๆก็จะลดลง คุณก็จะมีเงินออมไว้สำหรับการลงทุนมากขึ้น

คนจนและชนชั้นกลางส่วน ใหญ่เล่นเกมการเงินด้วยล้อเพียงล้อเดียว พวกเขาเชื่อว่าหนทางสู่ความร่ำรวยคือการหาเงินให้ได้มากๆ แต่เพียงอย่างเดียว พวกเขาเชื่อเช่นนั้นเพราะพวกเขาไม่เคยไปถึงจุดที่มีรายได้สูง พวกเขาไม่เข้าใจกฎของพาร์คินสันซึ่งระบุว่า "ค่าใช้จ่ายมักเพิ่มเป็นสัดส่วนโดยตรงกับรายได้" เมื่อรายได้มากขึ้น รายจ่ายก็จะมากขึ้นเป็นเงาตามตัวแทบทุกครั้งไป นั่นคือสาเหตุที่คุณไม่สามารถร่ำรวยได้จากการมีรายได้เพิ่มขึ้นเพียงอย่าง เดียว

จำไว้ว่าสิ่งที่คุณให้ความสนใจจะ เพิ่มขยายผล เมื่อคุณจับตาดูมูลค่าทรัพย์สิน นั่นหมายความว่าคุณได้ให้ความสนใจกับมัน และเนื่องจากสิ่งที่คุณให้ความสนใจจะเพิ่มขยายผล มูลค่าทรัพย์สินของคุณก็จะเพิ่มพูนขึ้นด้วย


คนรวยเลือก "ทั้งสองทาง"
คนจนเลือก "ทางใดทางหนึ่ง"
คน รวยอยู่ในโลกแห่งความพรั่งพร้อม คนจนอยู่ในโลกแห่งข้อจำกัด แน่นอน ทั้งสองต่างอยู่บนโลกใบเดียวกัน แต่ความแตกต่างนั้นอยู่ที่มุมมองของพวกเขา

คน จนและชนชั้นกลางส่วนใหญ่มาจากพื้นเพที่ยากลำบาก พวกเขาใช้ชีวิตโดยมีคำขวัญประจำใจว่า "ไม่มีอะไรที่เพียงพอสำหรับทุกคนบนโลกใบนี้หรอก และเป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะมีพร้อมทุกอย่าง"

แต่ถึงคุณไม่อาจมีได้ "ทุกอย่าง" หรือทุกๆสิ่งบนโลกใบนี้ ผมก็เชื่อว่าคุณสามารถมี "ทุกอย่างที่คุณต้องการจริงๆ" ได้อย่างแน่นอน

คนรวยเข้าใจว่า ด้วยการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพียงเล็กน้อย คุณย่อมสามารถคิดหาหนทางเพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดทั้งสองด้านแทบทุกครั้ง

คำถามสำคัญที่คุณต้องถามตัวเองก็คือ "ฉันจะมีทั้งสองอย่างได้อย่างไร?"

คำถามนี้จะเปลี่ยนชีวิตคุณจากชีวิตที่ขาดแคลนและเต็มไปด้วยข้อจำกัดไปสู่สรวงสวรรค์ที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นไปได้และความอุดมสมบูรณ์

การ คิดถึง "สองทางเลือก" มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเงิน คนจนและชนชั้นกลางเชื่อว่าตนต้องเลือกระหว่างเงินและสิ่งอื่นๆในชีวิต ผลที่ตามมาคือ พวกเขาสรรหาข้ออ้างมาทำให้เงินกลายเป็นเรื่องสำคัญรองจากสิ่งอื่นๆ

ขอ ย้ำให้ชัดอีกครั้งว่าเงินเป็นสิ่งสำคัญ! การบอกว่าเงินไม่สำคัญเท่าสิ่งอื่นๆในชีวิตเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ สำหรับคุณแล้ว อะไรสำคัญกว่ากันระหว่างแขนและขา? เป็นไปได้ไหมว่ามันอาจสำคัญทั้งสองอย่าง?

คนที่ร่ำรวยล้วนเข้าใจดีว่า คุณต้องเลือกทั้งสองอย่าง เหมือนที่คุณต้องมีทั้งแขนและขา นั่นคือ คุณต้องมีเงินและมีความสุขด้วย

ถ้า คุณต้องการมีชีวิตที่ปราศจากขีดจำกัด ไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม จงปล่อยวางความคิดที่จะเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และมุ่งมั่นกับความตั้งใจที่จะมี "ทั้งสองอย่าง"

คนรวยเลือกที่จะได้รับเงินตามผลงาน
คนจนเลือกที่จะได้รับเงินตามระยะเวลาที่ทำงาน
คุณ เคยได้ยินคำแนะนำที่ว่า "ไปโรงเรียน เรียนให้ได้เกรดดีๆ หางานดีๆทำ หางานที่มีเงินเดือนประจำ ตรงต่อเวลา ทำงานหนัก...แล้วคุณจะมีชีวิตที่มีความสุขตลอดไป" บ้างไหมครับ?

ผมจะ ไม่เสียเวลาหาเหตุผลมาหักล้างคำแนะนำนี้ทั้งหมดหรอกนะครับ เพราะคุณสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง ลองดูจากประสบการณ์ของตัวเองหรือคนรอบตัวคุณก็ได้

แต่สิ่งที่ผมอยากจะหยิบยกขึ้นมาพูดคุยกับคุณในที่นี้คือเรื่องเงินเดือน "ประจำ"

การ ได้รับเงินเดือนประจำนั้นไม่มีอะไรผิดหรอก มันแค่ลดประสิทธิภาพในการหาเงินให้ได้ตามศักยภาพสูงสุดของคุณ นั่นแหละปัญหา และมักจะเป็นปัญหาสำหรับคนส่วนใหญ่ด้วย

ความมั่นคงเช่นนี้ต้องแลกมาด้วยบางสิ่งบางอย่าง และสิ่งนั้นก็คือ "ความมั่งคั่ง"

การใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความมั่นคงไม่ต่างจากการใช้ชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความกลัว สิ่งที่คุณคิดจริงๆก็คือ "ฉัน กลัวว่าจะไม่สามารถหาเงินได้พอยาไส้ถ้าต้องพิจารณาจากความสามารถในการทำงาน ดังนั้นฉันจะขอรับเงินแค่ให้พออยู่รอดหรืออยู่ได้อย่างไม่ลำบากก็พอ"

คนรวยชอบที่จะรับเงินตามผลงานของพวกเขามากกว่า ในโลกของการเงิน จำนวนผลตอบแทนมักสมน้ำสมเนื้อกับความเสี่ยงที่ต้องแบกรับเสมอ

คน รวยเชื่อในตัวเอง พวกเขาเชื่อในคุณค่าและความสามารถในการสร้างคุณค่าของตัวเอง ขณะที่คนจนไม่เชื่อ นั่นคือสาเหตุที่พวกเขาต้องการ "หลักประกัน"

คน จนแลกเวลากับเงิน กลยุทธ์นี้มีปัญหาเพราะเวลาของคุณมีอยู่อย่างจำกัด นั่นหมายความว่าคุณกำลังแหกกฎแห่งความมั่งคั่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งระบุว่า "อย่าให้มีเพดานจำกัดรายได้ของคุณ" ถ้าคุณเลือกรับเงินตามเวลาที่คุณใช้ในการทำงาน เท่ากับคุณกำลังทำลายโอกาสไปสู่ความมั่งคั่งของตัวคุณเอง

สมมุติว่า คุณอยู่ในธุรกิจขายปากกา มีลูกค้าโทรสั่งซื้อปากกา 50,000 ด้าม ในกรณีนี้ คุณจะทำอย่างไร? คุณก็แค่โทรไปหาผู้ผลิต สั่งปากกามา 50,000 ด้าม และก็ส่งขาย แล้วก็นั่งนับกำไรอย่างเป็นสุข ในทางกลับกัน สมมุติว่าคุณเป็นนักนวดเพื่อการบำบัด และมีลูกค้า 50,000 คนต่อแถวอยู่นอกประตูรอให้คุณนวด คุณจะทำอย่างไร? ถึงเวลานั้น คุณคงจะตีอกชกหัวตัวเองที่ไม่เลือกทำธุรกิจปากกาตั้งแต่แรก

ผมพบ ว่าคนส่วนใหญ่ที่ติดแหง็กอยู่กับการเป็นมนุษย์เงินเดือน คือผู้ที่ถูกตั้งโปรแกรมมาตั้งแต่เด็กว่า วิธีนี้คือหนทาง "ปกติ" ในการทำมาหากิน

พ่อแม่ส่วนใหญ่เป็นห่วงและปกป้องลูกมากจนเกินไป จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาอยากให้ลูกๆ มีชีวิตที่มั่นคง ดังเช่นที่คุรอาจเคยมีประสบการณ์มาแล้ว งานใดๆก็ตามที่ไม่มีเงินเดือนประจำมักทำให้พ่อแม่ทักท้วงว่า "เมื่อไหร่ลูกจะหางานหาการทำจริงๆ จังๆ ซะที?"

ผมจำได้ว่า เมื่อพ่อแม่ผมถามผมแบบนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่ผมตอบไปว่า "ไม่มีวันนั้นหรอกครับ!" แม่ผมฉุนจัดทีเดียว แต่พ่อผมพูดออกมาว่า "ดี แล้วล่ะลูก ลูกไม่มีทางรวยได้หรอกถ้ารอรับเงินเดือนจากคนอื่น ถ้าลูกจะหางานทำ ก็ขอให้รับค่าจ้างเป็นเปอร์เซนต์ ไม่อย่างนั้นก็ทำงานของตัวเอง!"

ผมก็ขอสนับสนุนให้คุณทำงาน "ของตัวเอง" เช่นกัน สร้างธุรกิจของตัวเอง ทำงานรับค่าคอมมิสชั่น รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซนต์จากรายได้หรือผลกำไรของบริษัท หรือเลือกรับเป็นหุ้น

ไม่ว่าคุณจะเลือกอะไร ขอให้แน่ใจว่าคุณปูทางไปสู่การรับค่าตอบแทนตามผลงาน


โดย ส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อว่าทุกๆคนควรจะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นแบบเต็มตัวหรือพาร์ตไทม์ก็ตาม เหตุผลประการแรกคือ เศรษฐีเงินล้านส่วนมากล้วนร่ำรวยขึ้นมาจากการทำธุรกิจของตัวเอง

แล้ว อีกอย่าง เป็นเรื่องยากที่จะร่ำรวยขึ้นมาได้เมื่อมีเจ้าหน้าที่ด้านภาษีของรัฐตั้ง หน้าตั้งตารับส่วนแบ่งเกือบครึ่งของทุกเม็ดเงินที่คุณหามาได้ แต่ถ้าคุณ มีบริษัทของตัวเอง คุณสามารถประหยัดเงินได้ไม่ใช่น้อย ด้วยการนำค่าใช้จ่ายต่างๆไปขอลดหย่อนภาษี แค่เหตุผลนี้เพียงข้อเดียว การมีธุรกิจเป็นของตัวเองก็คุ้มค่าน่าลองแล้ว

ท้ายที่สุดแล้ว หนทางเดียวที่จะมีรายได้ที่สอดคล้องกับศักยภาพที่แท้จริงของตัวคุณเอง คือ การเลือกที่จะรับค่าตอบแทนตามผลงาน ขอย้ำอีกครั้ง ด้วยคำพูดของพ่อที่ประทับใจผมที่สุด

"ลูกไม่มีทางรวยได้หรอกถ้ารอรับเงินเดือนจากคนอื่น ถ้าลูกจะหางานทำก็ขอให้รับค่าจ้างเป็นเปอร์เซนต์ ไม่อย่างนั้นก็ทำงานของตัวเอง!"

คนรวยเป็นผู้รับที่ยอดเยี่ยม
คนจนเป็นผู้รับที่ยอดแย่
ถ้า จะให้ผมฟันธงถึงสาเหตุอันดับหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่สามารถบรรลุศักยภาพสูงสุด ทางการเงินของตัวเองได้ ผมก็จะขอบอกว่า คนส่วนใหญ่เป็น "ผู้รับ" ที่แย่ เขาอาจเป็นผู้ให้ที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่ที่แน่ๆคือ พวกเขาเป็นผู้รับที่แย่ และเพราะพวกเขารับได้แย่ พวกเขาจึงเลือกที่จะไม่รับ!

คนเรามีปัญหา กับการเป็นผู้รับด้วยเหตุผลหลายประการ ประการแรกเลยคือ หลายคนรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าหรือไม่คู่ควร อาการของโรคนี้แพร่ระบาดอย่างกว้างขวางในสังคมของเรา

ผมขอเดาว่ากว่า 90% ของประชากรโลกต่างมีความรู้สึกที่ว่าตัวเองไม่ดีพอวิ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือด

แต่ สิ่งสำคัญคือ คุณต้องตระหนักไว้ว่า ความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างฐานะและจากมุมมองทาง การเงิน มันอาจเป็นแรงกระตุ้นอย่างดีเสียด้วยซ้ำ

ความ รู้สึกว่าตัวเองมีค่าหรือไม่ ล้วนเป็น "เรื่องราว" ที่เราสร้างขึ้นเอง ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดมีความหมายหรอก นอกจากความหมายที่เรามอบให้มันเอง

ไม่ มีใครเดินเข้ามาประทับตรา "มีค่า" หรือ "ไร้ค่า" บนตัวคุณได้หรอก คุณเองนั่นแหละที่เป็นคนทำ คุณสร้างมันขึ้นมาเอง คุณเป็นคนตัดสินเอง คุณคนเดียวเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนดว่าคุณจะมีค่าหรือไม่ มันเป็นมุมมองของคุณ

ถ้าอย่างนั้น ทำไมคนเราถึงทำกับตัวเองอย่างนี้? ทำไมคนเราต้องสร้างเรื่องขึ้นมาว่าตัวเองไร้ค่า? มันเป็นธรรมชาติของจิตใจมนุษย์ ซึ่งมีระบบป้องกันตัวเองที่จ้องแต่จะหาสิ่งผิดปกติ คุณสังเกตุไหมว่าพวกกระรอกไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านี้เลย? คุณพอจะนึกภาพกระรอกบอกกับตัวเองว่า "ฉันจะไม่สะสมลูกนัทเตรียมไว้สำหรับหน้าหนาวในปีนี้ให้มากนักเพราะฉันมันไร้ ค่า" ได้ไหม คงเป็นไปได้ยากหน่อย

เพราะ สัตว์ที่มีระดับสติปัญญาต่ำไม่เคยทำเรื่องแบบนั้นกับตัวเอง มีแต่สัตว์โลกที่มีวิวัฒนาการล้ำหน้าอย่างมนุษย์เท่านั้นแหละที่สามารถตั้ง ข้อจำกัดให้กับตนเองได้

หนึ่งในคติพจน์ของผมคือ "ถ้าต้นโอ๊กสูงร้อยฟุตมีความคิดและจิตใจเหมือนมนุษย์ มันก็คงจะสูงได้เพียงสิบฟุต!"

คำ แนะนำของผมก็คือ เนื่องจากการแต่งเรื่องของคุณขึ้นมาใหม่นั้นง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงความ รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า จงเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนเรื่องราวของคุณแทน มันได้ผลรวดเร็วและแน่นอนกว่ากันมาก ลองสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ที่ส่งเสริมตัวคุณเองและดำเนินชีวิตไปตามนั้น

โลกนี้มี เงินอยู่มากมาย นับล้านล้านดอลลาร์ มันมีอยู่ล้นเหลือและต้องไหลไปที่ไหนสักแห่ง และเมื่อมีคนไม่เต็มใจรับส่วนแบ่งของเขาหรือเธอ เงินส่วนนั้นก็ต้องตกไปเป็นของคนที่เต็มใจจะรับ

ผมจะสอนบทสวดภาวนาพิเศษที่ผมคิดขึ้น มันอาจดูเหมือนเรื่องเล่นๆ ก็จริง แต่บทเรียนที่ได้รับนั้นสำคัญยิ่ง บทสวดมีดังนี้

"ข้า แต่สวรรค์เบื้องบน...หากใครมีโอกาสได้รับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะรับ โปรดส่งมันมาให้ฉันแทนด้วยเถอะ! ฉันเปิดกว้างและยินดีรับพรทุกประการจากท่าน ขอบคุณ"

ถ้า คุณมีวิธีหาเงินให้ได้มากๆ ก็จงมีเงินให้มากๆ เข้าไว้ สร้างฐานะให้ร่ำรวยแล้วช่วยเหลือคนที่ไม่มีโอกาสเหมือนอย่างคุณ ซึ่งนั่นฟังดูมีเหตุผลมากกว่าการเป็นคนถังแตกและไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ เลย

เมื่อคุณเปิดกว้างต่อการรับอย่างแท้จริง ชีวิตในด้านอื่นๆ ของคุณก็จะเปิดกว้างไปด้วยโดยปริยาย หลักการอีกข้อที่ผมใช่บ่อยๆก็คือ "วิธีที่คุณจัดการกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คือวิธีที่คุณจัดการกับทุกๆ เรื่อง"

เมื่อ คุณกลายเป็นผู้รับเงินที่ยอดเยี่ยม คุณก็จะเป็นผู้รับที่ดีในทุกด้าน...และเปิดรับทุกอย่างที่สวรรค์ประทานมาให้ ในทุกๆ ด้านของชีวิต

สิ่งเดียวที่คุณต้องจำไว้ก็คือ การกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" ทุกครั้งที่คุณได้รับพรอันประเสริฐทั้งหลาย


คนรวยมองปัญหาเป็นเรื่องเล็ก
คนจนมองปัญหาเป็นเรื่องใหญ่
คน จนพยายามทำแทบทุกวิถีทางเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา พวกเขาเห็นปัญหาแล้วก็รีบวิง่หนี เรื่องน่าขันคือ การหลบเลี่ยงปัญหากลับทำให้พวกเขาต้องเผชิญปัญหาที่ร้ายแรงที่สุด นั่นคือ การสิ้นเนื้อประดาตัวและความทุกข์ยาก

เคล็ดลับความสำเร็จไม่ใช่การพยายามหลีกเลี่ยงปัญหา สิ่งที่คุณต้องทำคือ การพัฒนาตัวเองให้ยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกๆปัญหา

ไม่ ว่าคุณจะรวยหรือจน ทำตัวยิ่งใหญ่หรือเล็กกระจิ๋ว จำไว้ว่าปัญหาไม่มีทางหายไปเองหรอก ถ้าคุณยังมีลมหายใจ คุณจะต้องเจอเจ้าสิ่งที่เรียกว่าปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตเสมอ

ขนาดของปัญหาไม่ใช่เรื่องสำคัญ...สิ่งที่สำคัญคือขนาด (ใจ) ของตัวคุณเองต่างหาก!

ถ้าคุณมีปัญหาในชีวิต นั่นหมายความว่าคุณกำลังทำตัวเล็กกระจ้อยร่อย

อย่า ปล่อยให้รูปลักษณ์ภายนอกหลอกตา โลกภายนอกของคุณเป็นเพียงภาพสะท้อนของโลกภายในตัวคุณ ถ้าคุณอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร จงเลิกให้ความสำคัญกับขนาดของปัญหา แล้วหันมาให้ความสำคัญกับขนาดของตัวคุณเองแทน!

ยิ่งคุณ สามารถรับมือกับปัญหาที่ใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถจัดการกับธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเท่านั้น ยิ่งคุณสามารถรับผิดชอบได้มากแค่ไหน คุณก็จะบริหารลูกน้องได้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคุณสามารถดูแลลูกค้าได้มากเท่าไหร่ คุณก็จะสามารถดูแลเรื่องเงินๆทองๆได้มากขึ้นเท่านั้น และในที่สุด คุณก็จะรับมือกับความมั่งคั่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ

ก็อีกเช่นเคย ความมั่งคั่งจะเพิ่มพูนได้ถึงระดับที่คุณเติบโตเท่านั้น! คุณ จึงควรตั้งเป้าหมายการพัฒนาตนเองให้ถึงจุดที่คุณสามารถจัดการกับปัญหาหรือ อุปสรรคในการสร้างฐานะ และรักษาระดับความมั่งคั่งไว้ได้เมื่อคุณร่ำรวยขึ้นมา

คนที่จนและไม่ ประสบความสำเร็จจะจมอยู่กับปัญหา พวกเขาเสียเวลาและพลังงานไปกับความรู้สึกหงุดหงิดและการพร่ำบ่น อย่าว่าแต่จะป้องกันไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นอีกเลย พวกเขาแทบไม่เคยสร้างสรรค์วิธีการใดๆ เพื่อแก้ปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

คน รวยไม่ถอยหนีจากปัญหา ไม่หลีกเลี่ยงปัญหา และไม่บ่นถึงปัญหา คนรวยเป็นนักรบทางการเงิน ซึ่งเราให้คำจำกัดความว่า "ผู้ที่สามารถพิชิตใจตนเองได้"


คนรวยเต็มใจโปรโมทตัวเองและคุณค่าของตัวเอง
คนจนมองการขายและโปรโมชั่นในแง่ลบ
การมีอคติต่อแผนส่งเสริมการขายเป็นหนึ่งในอุปสรรคสำคัญสู่ความสำเร็จ คนที่มีทัศนคติด้านลบต่อการขายและโปรโมชั่นมักเป็นคนถังแตก

แน่ นอนที่สุด คุณจะสร้างรายได้จำนวนมหาศาลได้อย่างไรถ้าคุณไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวคุณ ผลิตภัณฑ์ของคุณหรือบริการของคุณมีอยุ่ในท้องตลาด?

คนเรามีอคติกับโปรโมชั่นหรือการขายด้วยเหตุผลที่หลากหลาย เป้นไปได้ว่าปัญหาของคุณอาจคล้ายคลึงกับข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายๆข้อต่อไปนี้

ข้อแรก คุณอาจเคยมีประสบการณ์อันเลวร้ายในอดีตกับคนที่พยายามขายสินค้าให้คุณอย่างไม่เหมาะสม

บาง ที่คุณอาจรู้สึกว่าเขากำลังขายของให้คุณแบบ "ยัดเยียด" บางทีพวกเขาอาจมารบกวนคุณแบไม่ถูกกาละเทศะ บางทีพวกเขาอาจไม่ยอมรับการปฏิเสธจากคุณ

แต่ ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือคุณต้องตระหนักว่าประสบการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในอดีตและการยึด ติดอยู่กับมันอาจไม่ส่งผลดีต่อคุณในวันนี้

ข้อ สอง คุณอาจเคยประสบเหตุการณ์ที่บั่นทอนกำลังใจคุณอย่างรุนแรง เมื่อคุณพยายามขายอะไรก็ตามให้ใครสักคน แล้วถูกเขาคนนั้นปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง

ใน กรณีนี้ ความรู้สึกไม่ชอบโปรโมชั่นของคุณเป็นเพียงภาพสะท้อนของความกลัวการล้มเหลว และการถูกปฏิเสธ จงเตือนตัวเองอีกครั้งว่า อดีตไม่จำเป็นต้องเหมือนปัจจุบันเสมอไป

ข้อสาม ปัญหาของคุณอาจมีต้นตอมาจากการถูกอบรมเลี้ยงดูในวัยเด็ก เราหลายคนถูกสอนมาว่า "การยกหางตัวเอง" เป็นเรื่องไม่สมควร

ถ้า คุณหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นนางงามารยาทดี คำสอนดังกล่าวก็อาจจะใช้ได้อยู่หรอก แต่ในโลกแห่งความจริง ในเรื่องธุรกิจและเงินๆ ทองๆ ถ้าคุณไม่ยกหางตัวเอง ผมรับประกันได้เลยว่าไม่มีใครมาช่วยยกให้คุณหรอก

คนรวยยินดีเชิดชูคุณความดีและคุณค่าของตัวเองให้ใครก็ตามที่อยากฟังและหวังว่าจะได้ทำธุรกิจร่วมกับพวกเขา

และท้ายที่สุด ยังมีคนอีกจำพวกที่รู้สึกว่าโปรโมชั่นนั้นไม่คู่ควรกับพวกเขา

คน ที่มีทัศนคติเช่นนี้จะรู้สึกว่าถ้าคนอื่นอยากได้ในสิ่งที่คุณมี พวกเขาก็น่าจะค้นหาและเป็นฝ่ายเข้ามาหาคุณเอง คนที่เชื่อแบบนี้ถ้าไม่สิ้นเนื้อประดาตัวก็คงจะถังแตกในไม่ช้าแน่นอน

ความ เป็นจริงคือโลกเรานั้นอัดแน่นไปด้วยสินค้าและบริการมากมาย และถึงแม้สิ้นค้าหรือบริการของเขาจะดีเลิศที่สุดในโลก แต่ไม่มีใครรู้หรอกเพราะเขาหยิ่งเกินกว่าจะอ้าปากบอกใคร

คน รวยมักเป็นผู้นำ และผู้นำที่ยิ่งใหญ่ล้วนแต่เป็นนักโปรโมทที่ยอดเยี่ยม การเป็นผู้นำย่อมต้องมีผู้ตามและผู้สนับสนุน นั่นหมายความว่าคุณต้องช่ำชองด้านการขาย การสร้างแรงบันดาลใจ และการจูงใจให้ผู้คนเชื่อในวิสัยทัศน์ของคุณ

ผู้นำสามารถทำเงินได้มากกว่าผู้ตามอย่างมหาศาล

ส่วนใหญ่แล้ว คนที่ต่อต้านการโปรโมทคือคนที่ไม่ยอมเชื่อในสินค้าของตัวเอง หรือไม่เชื่อในตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง

ถ้า คุณเชื่อว่าสิ่งที่คุณสามารถช่วยคนอื่นได้อย่างแท้จริง หน้าที่ของคุณก็คือการบอกให้คนจำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รับรู้ และวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณช่วยเหลือคนอื่นได้เท่านั้น แต่คุณยังจะร่ำรวยอีกด้วย!


คนรวยคบหาสมาคมกับคนที่มองโลกในแง่ดีและประสบความสำเร็จ
คนจนขลุกอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ประสบความสำเร็จ
คนที่ประสบความสำเร็จจะมองความสำเร็จของผู้อื่นเป็นเครื่องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เป็นต้นแบบในการเรียนรู้

พวกเขาจะบอกตัวเองว่า "ถ้าพวกเขาทำได้ ฉันก็ทำได้"

คน รวยรู้สึกขอบคุณที่คนอื่นๆ ประสบความสำเร็จล่วงหน้าไปก่อน เพราะพวกเขาจะได้มีแผนที่ไว้สำหรับเดินตามรอยทางสู่ความสำเร็จ ซึ่งง่ายกว่าการที่พวกเขาต้องลองผิดลองถูกเองทั้งหมด หลักการที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลพร้อมให้ทุกคนหยิบไปประยุกต์ใช้กับ ตัวเองแล้ว

ตรงกันข้ามกับคนรวย เมื่อคนจนได้ยินเรื่องราวความสำเร็จของคนอื่น พวกเขามักตัดสิน วิพากษ์วิจารณ์ ล้อเลียน และพยายามดึงคนเหล่านั้นลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน คุณรู้จักคนประเภทนี้บ้างไหม?

แทบทุกคนถามคำถามเดียวกัน "ถ้าคนใกล้ชิดของเราไม่ยอมพัฒนาตัวเองแถมยังฉุดเราให้ต่ำลงด้วยล่ะ?"

คำตอบที่ผมมอบให้ประการแรกคือ อย่าเสียเวลาชักจูงคนที่มองโลกในแง่ร้ายให้เปลี่ยนแปลงตนเองหรือชวนเขามาร่วมสัมมนาด้วย

มัน ไม่ใช่หน้าที่ของคุณ หน้าที่ของคุณคือการใช้สิ่งที่คุณได้เรียนรู้มาปรับปรุงตัวเองและชีวิตคุณ ให้ดีขึ้น จงทำตัวเป็นแบบอย่าง จงประสบความสำเร็จและมีความสุข...บางที...ผมขอย้ำว่าบางที...เขาอาจเห็นแสง สว่าง (ในตัวคุณ) และต้องการมันบ้าง

ข้อ สอง ผมอยากให้คุณจำหลักการสำคัญอีกข้อหนึ่งให้ขึ้นใจ "ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่ง และเหตุผลนั้นก็มีไว้เพื่อสนับสนุนฉัน"

ใช่ มันยากมากที่จะคิดอะไรในแง่ดีและมีสติดเมื่อถูกรายล้อมด้วยผู้คนที่คิดไม่ดีและสถานการณือันเลวร้าย แต่นั่นคือบททดสอบ!

เหมือน เหล็กที่ย่อมกล้าแกร่งขึ้นเมื่อผ่านเปลวไฟ ถ้าคุณจริงจังกับจุดมุ่งหมายขณะที่คนรอบตัวเฝ้าแต่กังขาหรือแม้กระทั่งส่ง เสียงคัดค้าน คุณก็จะยิ่งก้าวไปได้อย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

"ไม่มีสิ่งใดมีความหมายนอกจากความหมายที่เรามอบให้มันเอง"

ใน ความคิดของผม โลกนี้มีคนกว่าหกพันสามร้อยล้านคน แล้วเรื่องอะไรผมจะต้องมานั่งจมปลักกับคนที่คอยบั่นทอนกำลังของผมอยู่ตลอด เวลา ถ้าพวกเขาไม่ฉุดตัวเองขึ้นมา ผมก็ขอก้าวต่อไป!

"สิ่ง สำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าคุณรู้อะไร แต่อยู่ที่คุณรู้จักใครต่างหาก" ดังนั้นผมขอบอกคุณไว้เลยว่า "ถ้าคุณอยากจะบินกับฝูงอินทรี อย่าไปว่ายน้ำกับฝูงเป็ด!"

คนรวยชอบคบหากับผู้ชนะ คนจนคลุกคลีกับผู้แพ้ ทำไม? มันเป็นเรื่องของความสบายใจ คนรวยสบายใจที่ได้คบหากับผู้ที่ประสบความสำเร็จคนอื่นๆ พวกเขารู้สึกว่าเวลาที่ได้อยู่ร่วมกันมีคุณค่า คนจนจะรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ผู้ประสบความสำเร็จมากๆ พวกเขากลัวว่าจะไม่เป็นที่ยอมรับหรือไม่ก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง ดังนั้น เพื่อปกป้องตัวเอง ตัวตนของพวกเขาจึงเลือกที่จะตัดสินและวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ประสบความสำเร็จ คนอื่นๆ

ถ้าคุณอยากร่ำรวย คุณต้องปรับปรุงแผนผังการเงินภายในหัวคุณให้เชื่อออกมาจากสุดขั้วหัวใจว่า คุณเองก็มีดีไม่น้อยไปกว่าเศรษฐีเงินล้านพวกนั้นเลย

แทนที่จะเย้ยหยันคนรวย จงเอาพวกเขาเป็นแบบอย่าง แทนที่จะหลบหน้าจากคนรวย จงเข้าไปทำความรู้จัก

จงพูดว่า "ถ้าพวกเขาทำได้ ฉันก็ทำได้"













คนรวยชื่นชมผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จคนอื่นๆ
คนจนชิงชังผู้ร่ำรวยและประสบความสำเร็จ
คุณ ต้องตระหนักว่า ถ้าคุณเห็นคนรวยเป้นคนเลวไม่ว่าจะในเรื่องใด ด้านใด หรือรูปแบบใดก็ตาม และคุณอยากจะเป็นคนดี คุณก็ไม่มีทางร่ำรวยได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ คุณจะเป็นในสิ่งที่คุณจงเกลียดจงชังได้อย่างไร?


ความ ขุ่นเคืองและความโกรธแค้นที่คนจนหลายคนมีต่อคนรวยช่างรุนแรงจนน่าแปลกใจ ดูราวกับพวกเขาเชื่อว่าคนรวยเป็นตัวการที่ทำให้พวกเขายากจน "ใช่เลยถูกต้องที่สุด คนรวยกอบโกยเงินไปหมด มันก็เลยไม่มีเหลือตกมาถึงฉัน" แน่ล่ะ นี่มันบทพูดของพวกสวมบทผู้ถูกกระทำชัดๆ

ความ คิดและความเห็นไม่มีดีหรือเลว ไม่มีถูกหรือผิดหรอกเมื่อมันผุดขึ้นในหัวคุณ แต่มันสามารถส่งเสริมหรือบั่นทอพลังที่จะนำคุณไปสู่ความสุขและความสำเร็จได้

คุณ รวยได้โดยไม่ต้องเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ เพียงแต่คุณต้องรู้เท่าทันเมื่อความคิดของคุณเริ่มไม่เสริมพลังให้กับตัวเอง หรือคนอื่น แล้วรีบปรับความคิดให้เป็นไปในแง่บวกมากขึ้น

นี่เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ Acres of Dismonds ของ รัสเซล เอช คอนเวลล์ ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีแล้ว

"ใน การเทศนานั้นพวกเราสอนให้ทุกคนต่อต้านความโลภ...และเรียกสิ่งนั้นว่า "เงินสกปรก" กันอย่างติดปาก จนชาวคริสเตียนเข้าใจว่า การมีเงินเป็นเรื่องเลวร้ายไม่ว่าจะสำหรับใครหน้าไหนก็ตาม

แต่แท้จริงแล้วเงินคืออำนาจ และคุณควรมีความทะเยอทะยานในระดับที่เหมาะสมเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง

คุณ ควรมีเงิน เพราะถ้ามีเงิน คุณสามารถสร้างสรรค์ความดีได้มากกว่าถ้าคุณไม่มีเงิน เงินใช้พิมพ์ไบเบิ้ล เงินใช้สร้างโบสถ์ เงินใช้ส่งนักสอนศาสนาไปยังที่ต่างๆ และจ่ายเงินเดือนให้นักเทศน์...ดังนั้นผมขอยืนยันว่า คุณควรมีเงิน

ถ้า คุณสามารถสร้างฐานะอันมั่งคั่งได้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต...นั่นย่อมหมาย ถึงพระผู้เป็นเจ้าได้มอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่คุณ ผู้ที่เคร่งศาสนามีความเชื่อที่ผิดมหันต์ที่คิดว่า คุณจะต้องยากจนข้นแค้น คุณจึงจะได้ชื่อว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม"

หนึ่งในปรัชญาที่เป็นแนวทางในการใช้ชีวิตของผมมาจากสุภาษิตฮูน่าโบราณ ซึ่งเป็นคำสอนดั้งเดิมของผู้เฒ่าชาวฮาวายนั่นคือ "จงสรรเสริญในสิ่งที่คุณต้องการ"


คนรวยมุ่งความสนใจไปที่โอกาส
คนจนมุ่งความสนใจไปที่อุปสรรค
คนจนตัดสินใจโดยยึดติดกับความกลัว
ในทุกสถานการณ์สมองของพวกเขาจะเฟ้นหาแต่ข้อผิดพลาดหรือสิ่งที่อาจกลายเป็น เรื่องผิดพลาด ความคิดหลักๆในหัวของพวกเขาคือ "แล้วถ้ามันไม่ได้ผลล่ะ?" หรือที่บ่อยครั้งกว่านั้นคือ "มันไม่ได้ผลหรอก"

ชนชั้นกลางมองโลกในแง่ดีกว่าหน่อย พวกเขาชอบคิดว่า "ฉันหวังว่ามันจะได้ผลนะ"

ส่วน คนรวย พวกเขารับผิดชอบต่อผลลัพธ์ในชีวิตของตัวเอง และทำสิ่งต่างๆ ด้วยความคิดในทำนองที่ว่า "มันต้องได้ผลแน่เพราะฉันจะทำให้มันได้ผล"

คนรวยคาดหวังความสำเร็จ พวกเขาเชื่อมั่นในความสามารถและความคิดสร้างสรรค์ของตัวเอง

ยิ่งรางวัลตอบแทนมีค่ามากเท่าไหร่ คุณก็ต้องยอมเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น เนื่องจากคนรวยมองเห็นโอกาสตลอดเวลา พวกเขาจึงเต็มใจที่จะเสี่ยง

คนรวยเชื่อว่าถ้าเกิดเรื่องเลวร้ายจนกระทั่งย่ำแย่ถึงขีดสุด พวกเขาก็มีวิธีหาเงินกลับคืนมาได้เสมอ

ใน ทางกลับกันคนจนคาดหวังแต่ความล้มเหลว พวกเขาขาดความเชื่อมั่นในตัวเองและความสามารถของพวกเขา คนจนเชื่อว่าถ้าสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด นั่นหมายถึงหายนะ และเนื่องจากพวกเขามักมองเห็นแต่อุปสรรค พวกเขาจึงมักไม่ยอมเสี่ยง และเมื่อไม่ยอมเสี่ยง พวกเขาก็ไม่ได้รับรางวัลตอบแทน

แม้คนจนจะ อ้างว่าตนเองกำลังเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับโอกาส สิ่งที่พวกเขาทำจริงๆก็คือ การนั่งเฉย พวกเขากลัวจนหัวหด เอาแต่กระแอมไอ จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นปีๆ และเมื่อถึงเวลานั้น โอกาสก็หายสาบสูญไปแล้ว

ประเด็น ก็คือ ไม่มีทางที่โชค...หรือสิ่งอื่นใดที่มีค่า...จะมาถึงตัวคุณได้เลยถ้าคุณไม่ลง มือทำการใดๆ หากต้องการความสำเร็จทางการเงิน คุณต้องทำอะไรบางอย่าง

กุญแจสำคัญอีกอย่างคือ คนรวยให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาต้องการ ส่วนคนจนให้ความสนใจกับสิ่งที่พวกเขาไม่ต้องการอีกเช่นเคย

กฎครอบจักรวาลระบุว่า "สิ่งที่คุณให้ความสนใจจะยิ่งเพิ่มขยายผล"

เพราะ คนรวยให้ความสนใจกับโอกาสในทุกสถานการณ์ พวกเขาจึงได้รับโอกาสมากมาย ตรงข้ามกับคนจน เพราะคนจนให้ความสนใจกับอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้นจากการทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาจึงได้รับแต่อุปสรรค

จงให้ความสนใจกับโอกาส แล้วคุณก็จะได้รับโอกาส

ชีวิต คุณไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเพียงอย่างเดียว คุณไม่ควรใช้เวลาทั้งชีวิตเฝ้าดับไฟ คนที่ทำอย่างนั้นคือคนที่ก้าวถอยหลัง! คุณควรใช้เวลาและพลังที่มีไปกับการคิดและลงมือทำ ก้าวอย่างมั่นคงไปข้างหน้า ไปสู่เป้าหมายของคุณ

ถ้าคุณอยากรวยจงมุ่งความสนใจไปที่การหาเงิน การเก็บเงิน และการลงทุน ถ้าคุณอยากจน จงมุ่งความสนใจไปที่การใช้เงิน

มัน เป็นเรื่องเหลวไหลถ้าจะคิดว่าคุณสามารถล่วงรู้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มันเป็นเรื่องหลอกลวงถ้าจะเชื่อว่าคุณสามารถเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ ที่อาจเกิดขึ้นในภายหน้าและป้องกันตนเองได้ คุณรู้ไหมว่าในจักรวาลนี้ไม่มีเส้นตรง? ชีวิตก็ย่อมไม่ได้ดำเนินไปตามเส้นที่ตรงสุดๆเช่นเดียวกัน มันเคลื่อนที่ไปเหมือนสายน้ำที่คดเคี้ยว บ่อยครั้ง คุณสามารถเห็นได้เพียงหัวโค้งข้างหน้า และเมื่อคุณไปถึงหัวโค้งนั้นแล้วนั่นแหละ คุณจึงจะเห็นทางโค้งอื่นๆ ที่ทอดรออยู่

ผมมีคำขวัญประจำใจว่า "การลงมือทำดีกว่าการไม่ลงมือทำ"

คน รวยกล้าเริ่มต้น พวกเขาเชื่อว่าเมื่อพวกเขาร่วมเล่นเกมแล้ว พวกเขาจะสามารถใช้ไหวพริบตัดสินใจได้ในทุกขณะ พร้อมทั้งแก้ไขถูกผิด และปรับหางเสือขณะแล่นเรือไปตามทาง

คนจนไม่เชื่อมั่นใน ตัวเองหรือความสามารถของตน ดังนั้นพวกเขาจึงคิดว่าจะต้องรู้ทุกๆอย่างล่วงหน้า ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขณะเดียวกัน พวกเขาก็ไม่ยอมเปิดฉากลุยเสียที!

คนจนเอา แต่บอกตัวเองว่า "ฉันจะไม่ทำอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะรู้ถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด และรู้อย่างแน่ชัดว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร" ดังนั้น พวกเขาจึงไม่มีทางลงมือทำอะไร และกลายเป็นฝ่ายแพ้เสมอ

คนรวยมองเห็นโอกาส กระโจนใส่มัน และร่ำรวยยิ่งขึ้น แล้วคนจนล่ะ มัวทำอะไรอยู่? พวกเขาก็ยัง "เตรียมตัว" อยู่น่ะสิ!

คนรวยคิดการใหญ่
คนจนคิดการเล็ก
คุณจะได้รับเงินเท่ากับมูลค่าของตัวคุณในท้องตลาด

ปัจจัย ที่บ่งบอกมูลค่าของคุณในท้องตลาดมี 4 ประการ นั่นคือ อุปสงค์ อุปทาน คุณภาพ และปริมาณ จากประสบการณ์ของผม ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่คือ ปริมาณ ซึ่งหมายถึง ปริมาณงานที่คุณสามารถทำได้ในสาขาอาชีพนั้นๆ

พูดอีกอย่างก็คือ คุณสามารถให้บริการหรือสร้างผลกระทบกับจำนวนคนมากแค่ไหน?

ผม เคยเป็นเจ้าของฟิตเนส ตั้งแต่นาทีแรกที่ผมคิดจะทำธุรกิจนั้น ผมตั้งใจจะเปิดสาขาให้ประสบความสำเร็จสักร้อยแห่งและให้บริการคนป็นหมื่นๆคน ในทางกลับกัน คู่แข่งของผมซึ่งเริ่มทำธุรกิจนี้หลังจากผมหกเดือน คาดหวังแค่การสร้างฟิตเนสที่ประสบความสำเร็จเพียงสาขาเดียวเท่านั้น สุดท้ายแล้ว เธอจึงมีฐานะแค่พออยู่ได้ ขณะที่ผมร่ำรวย!ณค่าให้ช

หนึ่งในนักประดิษฐ์และนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคของเราคือ บัคมินสเตอร์ ฟูลเลอร์ เขาเคยกล่าวไว้ว่า

"จุดประสงค์ในชีวิตของเราคือการเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้และยุคต่อๆไป"

เรา ต่างถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกพร้อมกับพรสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้ดีโดยธรรมชาติ คุณได้รับของขวัญพิเศษนี้ด้วยเหตุผลประการเดียว นั่นคือ เพื่อนำไปใช้และแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีความสุขที่สุดคือคนที่ใช้พรสวรรค์ของตนอย่างเต็มที่

หนึ่ง ในภารกิจแห่งชีวิตของคุณคือการแบ่งปันพรสวรรค์และคุณค่าของคุณให้ผู้คนจำนวน มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นหมายถึงการเต็มใจที่จะคิดการใหญ่

คุณ รู้ความหมายของคำว่า ผู้ประกอบการหรือเปล่า? ในการสัมมนาของเรา เราให้คำจำกัดความกับมันว่า "ผู้แสวงหาผลกำไรจากการช่วยคนอื่นแก้ปัญหา" ใช่แล้ว อาชีพนี้ไม่ต่างอะไรจาก "นักแก้ปัญหา"

ยิ่งคุณช่วยคนมาก คุณก็จะ "ร่ำรวย" ยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านจิตใจ อารมณ์ จิตวิญญาณ และที่แน่ๆ ก็คือ ด้านการเงิน

ผมเห็นผู้คนมากมายที่คิดแต่เรื่องเล็กๆ และผู้คนอีกมากมายที่ปล่อยให้ตัวตนซึ่งยึดติดกับความกลัวมีอำนาจควบคุมชีวิต ผลก็คือพวกเราจำนวนมากไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยศักยภาพขั้นสูงสุดที่ตัวเองมี ทั้งในแง่ชีวิตส่วนตัวและการอุทิศตนให้ผู้อื่น

มาเรียน วิลเลียมสัน ผู้ประพันธ์หนังสือชื่อ A Return to Love เขียนไว้ดังนี้

"คุณ คือบุตรของพระเจ้า การทำแต่สิ่งเล็กๆ ไม่ใช่การรับใช้โลก การหดตัวให้ลีบเล็กเพื่อคนอื่นๆ รอบตัวจะได้ไม่รู้สึกหวาดหวั่นนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร เราต่างถูกลิขิตมาให้เปล่งประกายเฉกเช่นเด็กตัวน้อย เราถือกำเนิดมาเพื่อแสดงพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าซึ่งสถิตย์ในตัวเราให้ เป็นที่ประจักษ์ มันไม่ได้มีอยู่เพียงแต่ในตัวเราบางคน มันมีอยู่ในทุกคน

และ เมื่อเราปล่อยให้แสงสว่างในตัวเราเจิดจ้า เท่ากับเราได้อนุญาตให้คนอื่นทำเช่นเดียวกันโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราปลดเปลื้องตัวตนจากความกลัวของเราเอง การดำรงอยู่ของเราก็จะปลดเปลื้องคนอื่นไปด้วยโดยอัตโนมัติ"

ท้าย ที่สุด การคิดเล็กและทำแต่เรื่องเล็กจะนำไปสู่การสิ้นเนื้อประดาตัวและความไม่พอใจ ในตนเอง ส่วนการคิดใหญ่และทำการใหญ่จะนำไปสู่การมีพร้อมทั้งเงินและความหมายในชีวิต คุณเลือกเอาได้ตามใจ!



 


























































    คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย คนจนแค่อยากรวย

    คนรวยทุ่มเทเพื่อความรวย
    คนจนแค่อยากรวย
    ถามคนส่วนใหญ่ดูสิว่าพวกเขาอยากรวยไหม พวกเขาจะมองหน้าคุณเหมือนเห็นคนสติไม่ดี "แน่นอน ฉันอยากรวย" พวกเขาจะตอบอย่างนี้

    ทว่า ความจริงก็คือคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยากรวยจริงๆหรอกครับ

    เพราะอะไรน่ะหรือ?
    เพราะพวกเขามีข้อมูลด้านลบเกี่ยวกับความร่ำรวยซ่อนอยู่ในจิตใต้สำนึก ซึ่งบอกว่าการเป็นคนรวยเป็นเรื่องที่ผิด


    "ฉันจะไม่มีวันรู้เลยว่าคนอื่นชอบฉันที่ตัวฉันหรือเงินของฉัน"
    "ฉันต้องเสียภาษีอานและต้องจ่ายเงินครึ่งหนึ่งของฉันให้รัฐบาล"
    "ต้องทำงานหนักเกินไป"
    "เสียสุขภาพแย่"
    "ทุกคนคงอยากไถเงินฉัน"
    "ฉันอาจถูกปล้น"
    "เดี๋ยวลูกๆฉันโดนลักพาตัว"
    "มัน ต้องรับผิดชอบมากเกินไป ฉันต้องบริหารเงินทั้งหมดนั่น ต้องทำความเข้าใจเรื่องการลงทุนให้กระจ่าง ต้องกังวลเรื่องกลยุทธ์ทางภาษีและการปกป้องทรัพย์สิน และต้องจ้างนักบัญชีกับทนายแพงๆมาช่วยดูแล เฮ้อ ยุ่งยากชะมัด"
    และอีกสารพัดสารเพ...

    ลอง คิดแบบนี้ก็ได้ครับ สวรรค์ หรือที่เรียกอีกอย่างว่า "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ก็คล้ายแผนกส่งของตามสั่ง ที่ทำหน้าที่ส่งผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆมาให้คุณอย่างต่อเนื่อง คุณ "สั่ง" ด้วยการส่งคลื่นความคิดไปยังสวรรค์ ผ่านความเชื่อที่เด่นชัดที่สุดของคุณ ด้วยกฎแห่งแรงดึงดูด สวรรค์จะตอบตกลงและบันดาลทุกอย่างให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ แต่ถ้าแฟ้มข้อมูลของคุณมีความสับสนปนเป สวรรค์ก็จะไม่เข้าใจว่าคุณอยากได้อะไรกันแน่

    ตอน แรกเมื่อสวรรค์ได้ยินว่าคุณอยากรวย สวรรค์ก็จะเริ่มส่งโอกาสแห่งความมั่งคั่งมาให้คุณ แต่เมื่อได้ยินคุณบอกว่า "คนรวยโลภมาก" สวรรค์จะช่วยให้คุณมีเงินน้อย จากนั้นคุณก็คิดว่า "การมีเงินมากๆ จะช่วยให้ชีวิตรื่นรมย์ขึ้นเยอะเลย" และแล้วสวรรค์ที่น่าสงสาร ซึ่งทั้งสับสนและมึนงง ก็จะเริ่มส่งโอกาสทางการเงินครั้งใหม่มาให้ วันต่อมาคุณอยู่ในอารมณ์เซ็งๆ และคิดว่า "เงินไม่ได้สำคัญขนาดนั้นสักห่อย" สวรรค์ที่กำลังหงุดหงิดจึงได้แต่กรีดร้องว่า "ตัดสินใจซะทีสิ! ข้าจะให้สิ่งที่เจ้าต้องการ แค่บอกซะทีว่าจะเอาอะไรกันแน่"

    เหตุผลอันดับแรกที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้สิ่งที่ต้องการก็เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร

    คน รวยรู้อย่างแน่ชัดว่าตัวเองต้องการความมั่งคั่ง พวกเขาไม่โลเลไปมา พวกเขามุ่งมั่นเต็มที่ที่จะสร้างฐานะ ตราบใดที่มันถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม และถูกจรรยาบรรณ พวกเขาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำเพื่อความร่ำรวย คนรวยไม่ส่งสารอันสับสนสู่สวรรค์ มีแต่คนจนเท่านั้นที่ทำกัน

    (ขณะ ที่คุณอ่านย่อหน้านี้ ถ้าเสียงเล็กๆในหัวคุณแย้งขึ้นทำนองว่า "คนรวยไม่สนหรอกว่าจะถูกกฎหมาย ถูกศีลธรรม และถูกจรรยาบรรณหรือเปล่า" แสดงว่าคุณทำถูกแล้วที่อ่านหนังสือเล่มนี้ คุณจะค้นพบในไม่ช้าว่าวิธีคิดแบบนั้นเป็นตัวบ่อนทำลายตนเองอย่างร้ายกาจ)

    ผมรู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่คุณจะได้ในสิ่งที่คุณต้องการเสมอ...สิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณต้องการ ไม่ใช่สิ่งที่คุณพูดว่าต้องการ

    คุณสังเกตไหมว่าความอยากไม่จำเป็นต้องนำไปสู่ "การมี" เสมอไป

    ลอง สังเกตอีกอย่างว่าความอยากโดยไม่ได้มันมาจะนำไปสู่ความอยากมากยิ่งขึ้น ความอยากจะกลายเป็นนิสัยและนำไปสู่ความอยากได้อยากมีอย่างไร้จุดจบ กลายเป็นวังวนที่ไม่คืบหน้าไปไหน ลองคิดดูง่ายๆก็แล้วกัน คนเป็นพันๆ ล้านอยากร่ำรวย แต่มีไม่กี่คนหรอกที่รวย

    "ฉันมุ่งมั่นที่จะเป็นคนรวย"

    คำจำกัดความของคำว่า มุ่งมั่น คือ "การทุ่มเทแบบไม่มียั้ง"

    ซึ่ง หมายถึงการลงแรงลงใจเต็มที่ ทุ่มเททุกสิ่งที่คุณมีเพื่อความมั่งคั่ง มันหมายถึการเต็มใจทำทุกอย่างที่ต้องทำด้วยเวลาทั้งหมดที่คุณมี นี่คือวิถีทางของนักรบ ไม่มีข้ออ้าง ไม่มีคำว่าถ้า ไม่มีคำว่าแต่ ไม่มีคำว่าบางที...และความล้มเหลวก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

    วิถีทางของนักรบคือ "ฉันต้องรวยหรือไม่ก็พยายามจนขาดใจตายกันไปข้างหนึ่ง"

    เอาเข้าจริงคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยมุ่งมั่นที่จะเป็นคนรวย ถ้าคุณถามพวกเขาว่า "คุณจะกล้าพนันไหมว่าภายในสิบปีข้างหน้าคุณจะรวย?" คนส่วนใหญ่จะบอกว่า "ไม่มีทาง!" นั่นคือความแตกต่างระหว่างคนรวยและคนจน การไม่ยอมทุ่มเทที่จะเป็นคนรวยนั่นแหละที่ทำให้พวกเขาไม่รวยเสียที และมีแนวโน้มว่าจะไม่มีทางเป็นไปได้เลยด้วย

    (เสริมนะคะ : ข้อนี้คุณตัน โออิชิ เป็นคนนึงที่กล้าประกาศตัวออกมากับเพื่อนๆตั้งแต่สมัยที่เค้ายังไม่มีอะไร เลย ทำนองว่า "อีก 10 ปีข้างหน้าเมื่อเรากลับมาเจอกัน เค้าจะต้องเป็นคนที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จให้ได้" จนกระทั่งในที่สุดก็กลายมาเป็น "ตัน โออิชิ" อย่างที่เรารู้จักกันค่ะ หรืออย่าง Jim Carrey สมัยที่ยังไม่ดัง ก็เขียนเช็คล่วงหน้าให้ตัวเองเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก และประกาศว่านี่คือค่าตัวที่เค้าจะต้องได้ จากนั้นก็พกเช็คใบนั้นไว้ติดตัว จนในที่สุดทุกวันนี้เค้าก็สามารถได้ค่าตัวหลายสิบล้านดอลล่าร์ มากกว่าที่เค้าเคยเขียนไว้ซะอีก)


    คนส่วนใหญ่ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงินมักมีข้อจำกัดว่าพวกเขาจะยอมทำแค่ไหน ยอมเสี่ยงแค่ไหน และยอมสละแค่ไหน

    การ เป็นคนรวยต้องอาศัยความตั้งใจ ความกล้า ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ความพยายามแบบ 100% ทัศนคติแบบไม่ยอมแพ้ และแน่นอน วิธีคิดแบบคนรวย นอกจากนี้คุณยังต้องเชื่ออย่างหมดใจว่าคุณสามารถสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาได้ ด้วยตัวเอง และนั่นเป็นสิ่งที่คุณสมควรได้รับอย่างแท้จริง

    หนึ่ง ในข้อเขียนสุดโปรดของผมเป็นของ ดับเบิ้ลยู เอช เมอร์เรย์ ซึ่งเขียนขึ้นระหว่างการสำรวจเทือกเขาหิมาลัยในครั้งแรกๆ เนื้อความส่วนหนึ่งมีดังนี้

    "ชั่วขณะที่ เรามุ่งมั่นทุ่มเทอย่างเต็มที่ โชคชะตาก็จะเข้าข้างเรา เหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นผลจากการตัดสินใจทุ่มเทจะเรียงรายเข้ามา เอื้ออำนวยปัจจัยที่ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้า การพบปะผู้คน และความช่วยเหลือที่เป็นรูปธรรม ซึ่งไม่มีใครหน้าไหนเคยฝันว่ามันจะมาถึง"

    สวรรค์จะช่วยเหลือคุณ นำทางคุณ สนับสนุนคุณ หรือแม้กระทั่งสร้างปาฏิหารย์ให้เกิดกับคุณ แต่ก่อนอื่น คุณต้องมีความมุ่งมั่นมากพอ

    คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้

    คนรวยเล่นเกมการเงินเพื่อเอาชนะ
    คนจนเล่นเกมการเงินเพื่อไม่ให้แพ้
    ถ้า คุณเล่นกีฬาหรือเกมอะไรก็ตามโดยเอาแต่ตั้งรับ คุณจะมีโอกาสชนะในเกมนั้นมากแค่ไหน? คนส่วนใหญ่คงเห็นพ้องต้องกันว่าโอกาสคงมีอยู่เพียงน้อยนิดหรือไม่ก็เป็นไป ไม่ได้เลย

    เป้าหมายที่แท้จริงของคนรวยคือ การมีฐานะอันมั่งคั่งและมีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ พวกเขาไม่ได้อยากมีเงินแค่พอใช้ แต่อยากมีเงินจำนวนมหาศาล

    แล้วเป้าหมายของคนจนล่ะ?
    พวกเขาอยาก "มีเงินพอสำหรับจ่ายใบแจ้งหนี้ต่างๆ ...และถ้าจ่ายได้ตรงเวลาด้วยยิ่งเป็นเรื่องปาฏิหารย์!"

    เมื่อคุณตั้งใจให้มีเงินแค่พอจ่ายใบแจ้งหนี้ คุณก็จะมีเงินเท่านั้นจริงๆ...แค่พอสำหรับจ่ายเงินจำนวนนั้น ไม่ขาดและไม่เกินมาสักเซ็นต์

    พวก ชนชั้นกลางดีกว่านิดหน่อย...อย่างน้อยก็หนึ่งขั้น แต่เป็นเพียงระดับขั้นเล็กๆ พวกเขาดันเลือกคำๆหนึ่งมาเป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินชีวิต คำๆนั้นคือคำว่า "อยู่อย่างสบาย"

    ขอบอกว่าการอยู่อย่างสบายกับการเป็นคนรวยนั้นแตก ต่างกันราวฟ้ากับดิน อันที่จริงคนมีฐานะปานกลางมักเลือกอาหารโดยพิจารณาจากฝั่งขวาของเมนู...หรือ ที่เรียกว่าการสั่งโดยดูราคาเป็นหลักนั่นเอง เมื่อคุณมีฐานะปานกลาง คุณจะไม่กล้าทอดสายตามองส่วนล่างสุดของเมนู เพราะถ้าทำอย่างนั้น คุณอาจเห็นสุดยอดคำต้องห้ามในพจนานุกรมของชนชั้นกลาง นั่นคือคำว่า "ราคาตามน้ำหนัก!"

    หนึ่งในเรื่องที่ดีที่สุดของการเป็นคนรวยคือผม ไม่จำเป็นต้องดูราคาอาหารในเมนูก่อนจะสั่ง ผมกินสิ่งที่ผมอยากกินได้โดยไม่ต้องสนว่าราคาเท่าไหร่ ผมยืนยันได้เลยว่า ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนที่ผมถังแตกหรือมีฐานะปานกลาง

    เรา จะได้ในสิ่งที่เป็นความมุ่งหมายที่แท้จริงของเรา ถ้าคุณอยากรวย เป้าหมายของคุณต้องเป็นความร่ำรวย ไม่ใช่แค่มีเงินพอจ่ายใบแจ้งหนี้และไม่ใช่แค่พออยู่ได้สบาย ความรวยก็คือความรวย!












































































    1 คนรวยเชื่อว่า "ฉันกุมชะตาชีวิตของตัวเอง"
    คนจนเชื่อว่า "ฉันถูกลิขิตให้เป็นอย่างนี้"


    แน่นอนว่าใครๆก็อยากถูกล็อตเตอรี่ แม้แต่คนรวยก็ซื้อบ้างเป็นบางครั้งเพื่อความสนุก แต่ข้อแตกต่างอย่างแรกคือ คนรวยไม่ได้ซื้อล็อตเตอรี่ด้วยเงินครึ่งหนึ่งของรายได้ทั้งหมด และข้อสองคือ การถูกล็อตเตอรี่ไม่ใช่ "กลยุทธ์" หลักที่ทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นมา

    คุณต้องเชื่อว่าคุณคือผู้สร้างหนทางสู่ความสำเร็จด้วยตนเอง คือผู้ที่ทำให้ตัวเองมีฐานะปานกลาง และคือผู้ที่ทำให้ตัวเองต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนหาเงินและความสำเร็จ แต่ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม คนๆนั้นก็คือคุณ

    คนยากจนมักจะเลือกที่จะสวมบทบาทผู้ถูกกระทำ แทนที่จะยืดอกรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต

    ความคิดอันดับต้นๆในหัวของผู้ถูกกระทำจะเป็นในทำนองที่ว่า "ฉันนี่น่าสมเพชจัง" ดังนั้นด้วยพลังแห่งความตั้งใจ เขาคนนั้นก็จะกลายเป็นคนที่ "น่าสมเพช" ขึ้นมาจริงๆ

    แล้วคุณจะบอกได้อย่างไรเวลาคนเราสวมบทบาทผู้ถูกกระทำ? พวกเขาจะมีพิรุธที่เห็นได้ชัดอยู่ 3 ข้อ

    พิรุธที่ 1 : นักกล่าวโทษ

    เมื่อถามว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ร่ำรวย ผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกล่าวโทษ ซึ่งหมายถึงขีดความสามารถของคุณในการโยนความผิดใส่คนอื่นๆ หรือสถานการณ์ต่างๆโดยไม่ต้องหันมาดูตัวเอง

    ผู้ถูกกระทำโทษระบบเศรษฐกิจ โทษรัฐบาล โทษตลาดหุ้น โทษผู้จัดการ โทษบริษัทแม่ โทษหัวหน้า โทษลูกน้อง โทษแผนกจัดส่ง โทษคู่สมรส โทษพระเจ้า และแน่นอน พวกเขากล่าวโทษพ่อแม่ตัวเองเสมอๆ

    สำหรับคนกลุ่มนี้ ทุกอย่างเป็นความผิดของคนอื่นหรือสิ่งอื่นเสมอๆ สิ่งที่เป็นปัญหาคือสิ่งใดๆ หรือใครก็ตามที่ไม่ใช่ตัวเขาเอง

    พิรุธที่ 2 : นักแก้ตัว

    ถ้าผู้ถูกกระทำไม่หาทางโทษคนอื่น คุณก็จะได้ยินพวกเขาพูดแก้ตัวในทำนองที่ว่า "เงินไม่ใช่สิ่งสำคัญอะไรนักหรอก"

    ประเด็นก็คือ ถ้าคุณบอกสามีหรือภรรยา หรือแฟน หรือคนรัก หรือเพื่อนของคุณว่าพวกเค้าไม่ใช่คนสำคัญอะไรนัก คุณว่าพวกเขาจะอยากอยู่กับคุณต่อไปหรือเปล่า?ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ เงินก็เหมือนกันนะครับ!

    ขอฟันธงเลยว่า ใครก็ตามที่บอกว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญย่อมไม่มีเงิน!

    พวกเขาอาจจะเถียงข้างๆคูๆว่า "ยังไงซะ เงินก็ไม่สำคัญเท่าความรัก" เอาล่ะ มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้นะครับ หรือคุณคิดว่าอะไรสำคัญกว่ากันล่ะ ท่อนแขนหรือท่อนขา? บางที่มันอาจสำคัญทั้งสองอย่าง

    แม้ว่าความรักจะช่วยให้โลกหมุนไป แต่มันก็ไม่สามารถช่วยให้คุณสามารถจ่ายค่าสร้างโรงพยาบาล โบสถ์ หรือบ้านได้เลย และมันก็ไม่ทำให้ใครอิ่มท้องด้วย

    พิรุธที่ 3 : นักบ่น

    ผมเชื่ออย่างหมดใจในกฎครอบจักรวาลที่กล่าวว่า "สิ่งที่คุณให้ความสนใจจะยิ่งเพิ่มขยายผล"

    เวลาคุณบ่น เห็นได้ชัดว่าคุณเพิ่มความสนใจไปยังเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในชีวิต และเนื่องจากคุณจะได้ในสิ่งที่คุณให้ความสนใจ คุณก็จะได้รับเรื่องร้ายๆในชีวิตมากขึ้นไปอีก

    จะว่าไป ผมขอบอกว่าคุณไม่ควรเข้าไปคลุกคลีกับพวกชอบบ่น เพราะพลังงานในด้านลบเป็นโรคติดต่อ แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากชอบขลุกอยู่กับพวกชอบบ่น เพราะอะไร? เหตุผลง่ายๆคือ พวกเขากำลังรอให้ถึงตาตัวเองบ่นบ้างน่ะสิ!

    ตั้งแต่นี้ไป ถ้าคุณพบว่าตัวเองกำลังกล่าวโทษ หาข้อแก้ตัว หรือพร่ำบ่น จงรีบละและเลิกในทันที เตือนตัวเองเอาไว้ว่าคุณกำลังลิขิตชีวิตตัวเอง คุณสามารถดึงดูดความสำเร็จไม่ก็ความผิดพลาดเข้ามาในชีวิตได้ตลอดเวลา จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่คุณต้องเลือกสรรการใช้ความคิดและถ้อยคำอย่างชาญฉลาด

    โลกนี้ไม่มีผู้ถูกกระทำที่ร่ำรวยได้หรอกครับ