วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Wellness Industry

คุณพร้อมที่จะจ่ายเงินเท่าไหร่ เพื่อหยั่งรู้อนาคต แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ... คุณจะสร้างประโยชน์อะไรได้หรือไม่ ถ้าหากคุณล่วงรู้อนาคตแล้ว หรือ คุณเพียงแค่จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป?
  • หุ้นที่น่าจะขายออกไป

  • ที่ดินที่น่าจะซื้อไว้

  • หรือโอกาสที่น่าจะไขว่คว้าไว้ แต่คุณก็ปล่อยมันหลุดมือไป... แล้วอีกนานแค่ไหน จึงจะมีโอกาสดีๆ อีกครั้ง?
นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของคุณ... ลองมาดูสิ่งต่อไปนี้

ในทุกๆ ทศวรรษ จะมีสิ่งใหม่ๆ ที่พลิกโฉมหน้าของยุค เช่น...
  • ในช่วงทศวรรษที่ 70 เป็นยุคของเตาไมโครเวฟ
  • ในช่วงทศวรรษที่ 80 เป็นยุคของเครื่องเล่นวีดีโอเทป
  • ในช่วงทศวรรษที่ 90 เป็นยุคแห่งคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ต
คน ที่ไขว่คว้าโอกาสในทศวรรษที่ 80 ไว้ได้กลายเป็นเศรษฐีในเวลาต่อมา ส่วนคนที่ใช้โอกาสในทศวรรษที่ 90 สร้างธุรกิจ ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นมหาเศรษฐีในเวลาต่อมาเช่นเดียวกัน
แล้วคุณคิดว่ามีโอกาสอะไรบ้างในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้?


ใน หนังสือ "The Next Trillion" ซึ่งเป็นหนังสือขายดี เขียนโดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง Paul Zane Pilzer ได้กล่าวไว้ว่า ภายในปี 2010 อุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพ จะทำเงินเพิ่มขึ้นให้ระบบเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาได้ถึง 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เพราะมันเป็นสิ่งที่จะทำให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ชะลอความแก่ชรา และเสริมสร้างภูมิป้องกันโรค เมื่อมาดูจากข้อมูลแล้ว ยอดขายในอุตสาหกรรมเพื่อสุขภาพเมื่อ 2 ทศวรรษก่อนนั้นแทบจะไม่มีเลย แต่ ณ วันนี้มันมีมูลค่าถึง 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับครึ่งหนึ่งของตลาดรถยนต์ในอเมริกา แต่ภายในปี 2010 มูลค่ารวมจะพุ่งขึ้นเป็น 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐต่อปี นั่นหมายถึง การเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดดถึง 500 %

อะไรเป็นปัจจัยต่อการเจริญเติบโตอันน่าอัศจรรย์นี้? ปัจจัยอะไรที่สามารถทำให้มั่นใจได้เช่นนี้?
ด้วยคำๆ นี้ "เบบี้ บูมเมอรส์(Baby Boomers)" ซึ่งเป็นคำที่เราคุ้นเคยกันมากว่า 20 ปี และยังเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจสหรัฐมากว่า 20 ปี นับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด เพราะขณะนี้คนกลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 37-55 ปี มีรายได้ในระดับสูง มีเงินออม และมีอำนาจในการซื้อที่สูง กลุ่มเบบี้บูมเมอรส์ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีบ้าน มีรถยนต์ มีคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์เน็ตใช้อย่างแพร่หลาย มูลค่าสินทรัพย์ของเขาเหล่านี้รวมแล้วสูงถึงประมาณ 5 ล้านล้านเหรียญ จากมูลค่าระบบเศรษฐกิจรวม 10 ล้านล้านเหรียญ
ถึงแม้กลุ่มเบบี้บูมเมอรส์จะมีจำนวนเพียง 30 % ของประชากร แต่กลับสร้างมูลค่าถึง 50 % ของผลผลิตมวลรวมในชาติ ที่สำคัญไปกว่านั้น เขาจะเป็นกลุ่มคนที่เพิ่มปริมาณการใช้จ่ายอีก 1 ล้านล้านเหรียญ(รวมกับ 5 ล้านล้านเหรียญเดิม) เพื่อใช้ในการซื้อหาสิ่งที่นอกเหนือไปจากบ้าน รถยนต์ หรือคอมพิวเตอร์ นั่นคือเขาจะแสวงหา"ความเป็นหนุ่มสาว ชะลอความแก่ชรา สุขภาพที่ดี ความเป็นอยู่ที่ดี" ซึ่งเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่จะพลิกโฉมหน้าธุรกิจของยุคอีกครั้ง
ในอีก 10 ปีข้างหน้า กลุ่มเบบี้บูมเมอรส์ จะใช้จ่ายเพื่อบริการด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นจาก 2 แสนล้านเหรียญวันนี้ ไปเป็น 1 ล้านล้านเหรียญ นั่นหมายถึง 2 พัน 7 ร้อยล้านเหรียญต่อวัน หรือ 114 ล้านเหรียญต่อชั่วโมง หรือ 1 ล้าน 9 แสนเหรียญต่อนาที
เมื่อเราได้มองเห็นแนวโน้มแห่งอนาคตนี้แล้ว ผู้ที่ต้องการมีส่วนร่วมกับโอกาสนี้ คงมีทางเลือกอยู่ 4 ทาง คือ
1. การเป็นผู้ประกอบการ(Practitioner) เช่น แพทย์, สถานกายภาพบำบัด, สถานบริการเพื่อสุขภาพ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีความต้องการมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคุณมีเวลามากพอ มีเงินทุนที่จะเรียน และแข่งกับบริษัทประกันได้ และ...ถ้าคุณเต็มใจแลกเวลากับเงิน
2. การเป็นผู้ผลิต(Manufacturer) ก็น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ถ้าคุณมีเงินหลายๆ ล้าน เพื่อลงทุนสร้างโรงงาน จดทะเบียนต่างๆ และเพื่อการขนส่งสินค้า
3. การค้าปลีก(Retailer) ก็ นับว่าเป็นโอกาสที่ดี ถ้าคุณเต็มใจจ่ายค่าแฟรนไชส์(เหมือน 7-11) และทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ยอมจ่ายค่าโฆษณา สินค้าคงคลัง และปัญหาเรื่องลูกจ้าง
4. การเป็นผู้จัดจำหน่าย(Distributor) ซึ่งเราพบว่า ผู้ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ล้วนเป็นผู้ที่พบหนทางใหม่ ในการจัดจำหน่ายมากกว่าที่จะพบวิธีการผลิตใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น แซม วอลตัน แห่งวอลมาร์ท, สมิธ แห่งเฟดเดอรัล เอ็กซ์เพรส และ เจฟ เบซอส แห่งอะเมซอนดอทคอม สิ่งที่เหมือนกันของทั้ง 3 คนคือ เขาเป็นผู้จัดจำหน่ายได้พบวิธีใหม่ในการกระจายสินค้าที่ผู้บริโภครู้จัก และมีความต้องการอยู่แล้ว
แล้วทางเลือกไหนน่าสนใจที่สุด? ลองพิจารณาข้อมูลเพิ่มเติมในเชิงสถิติจากวิดิโอต่อไปนี้(เพราะสถิติไม่เคยโกหกใคร)

คุณพร้อมแล้วหรือยัง? คุณจะสนใจหรือไม่? หากธุรกิจนี้...
1. เป็นธุรกิจที่การเริ่มต้นไม่ยุ่งยากมาก เริ่มต้นด้วยเงินทุนที่ต่ำ แต่ผลกำไรมาก
2. เป็นธุรกิจที่มีโอกาสขยายโดยเพิ่มสาขาได้ง่าย และสามารถขยายไปได้ทั่วโลก
3. เป็นโครงสร้างของการตลาดแนวใหม่
4. ทำให้คุณมีเวลากับครอบครัวมากขึ้นในอนาคต
5. เปิดโอกาสให้คนรอบข้างของคุณที่มีเงินทุนจำกัด สามารถลงทุนร่วมธุรกิจกับคุณได้
เราเรียกธุรกิจนี้ว่า ธุรกิจเครือข่าย(Network Marketing)ซึ่งเป็นธุรกิจที่ สองมหาเศรษฐีระดับโลกของอเมริกาคือ Robert T Kiyosaki และ Donald Trumpได้กล่าวถึงไว้ในหนังสือ WHY WE WANT YOU TO BE RICH (ชวนคุณให้รวย)

ว่า... "ใครก็ตามที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ให้เริ่มด้วยการทำ Network Marketing"
ธุรกิจ Network Marketing ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ? มันจะเป็นไปได้หรือ?
ก่อนจะตัดสินว่าเป็นไปได้...หรือ...เป็นไปไม่ได้ เรามีข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่ง ที่จะบอกกับคุณว่า"ทุกวันนี้ คุณเองก็เกี่ยวข้องกับธุรกิจเครือข่ายอยู่แล้ว"


 

ไม่มีความคิดเห็น: