งานเขียนชิ้นนี้ สิริอัญญาได้เขียนจากบันทึกคำสอนของพระลามะธิเบต ซึ่งได้แนะนำเคล็ดวิชานี้เมื่อครั้งเดินทางไปประเทศจีนเมื่อปี 2538 เป็นเคล็ดวิชาในการฝึกฝนออกกำลังกายของสมอง ประสาท และหลอดเลือด เพื่อสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ ทั้งป้องกันและบำบัดโรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน อัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดแตก ตีบ ตัน
ซึ่งบางส่วนของเคล็ดวิชานี้ ปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดไพ่นกกระจอกได้นำไปใช้เป็นท่าหยิบไพ่ เปิดไพ่ และตีไพ่ ซึ่งผลวิจัยยอมรับว่าทำให้ไม่เป็นโรคภัยต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วด้วย.
พักนี้เป็นอะไรก็ไม่รู้ แทบทุกสัปดาห์มักจะได้ข่าวคราวว่ามิตรคนนั้น ญาติคนนี้มีความไข้เข้าครอบงำ และเป็นความไข้เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตกบ้าง หรือตีบบ้าง หรือขา แขนชา ไม่มีแรงบ้าง
แน่นอนว่าความไข้เหล่านั้นเป็นโรคภัยชนิด
หนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต คือเมื่อชีวิตเกิดขึ้นแล้ว
ความชราก็ครอบงำเรื่อยไปตั้งแต่เกิดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งตาย
และระหว่างนั้นก็อาจมีความเจ็บป่วยหรือพยาธิเข้าแทรก
ทำให้ได้รับความทุกข์ทรมานเพิ่มขึ้นอีก
เป็นธรรมดาของชีวิตที่ชรา และพยาธิต้องครอบงำ เพราะทั้งสองอย่างนี้คืออุ้งหัตถ์ของมัจจุราชที่จะมาคร่าชีวิตไปสู่ความตาย ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้เลย
แต่ เมื่อทุกคนจะต้องตายแล้วก็ควรที่จะหาทางตายให้สบาย ๆ สักหน่อย ให้มีความทุกข์ทรมานน้อยสักหน่อย โดยเฉพาะความป่วยไข้หรือพยาธิที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขา อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรงหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั้น ทำให้ตายอย่างทรมานและทำให้ผู้คนในครอบครัวเดือดร้อนมากและน้อยตามเวลาที่ ต้องรักษาพยาบาล
เป็นธรรมดาของชีวิตที่ชรา และพยาธิต้องครอบงำ เพราะทั้งสองอย่างนี้คืออุ้งหัตถ์ของมัจจุราชที่จะมาคร่าชีวิตไปสู่ความตาย ไม่มีใครที่จะหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้เลย
แต่ เมื่อทุกคนจะต้องตายแล้วก็ควรที่จะหาทางตายให้สบาย ๆ สักหน่อย ให้มีความทุกข์ทรมานน้อยสักหน่อย โดยเฉพาะความป่วยไข้หรือพยาธิที่ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขา อ่อนร้าไร้เรี่ยวแรงหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตนั้น ทำให้ตายอย่างทรมานและทำให้ผู้คนในครอบครัวเดือดร้อนมากและน้อยตามเวลาที่ ต้องรักษาพยาบาล
ยกเว้นก็แต่เส้นเลือดใหญ่ในสมองแตกแล้วตายไปเลยก็ตายสบายหน่อย
เดือดร้อนวุ่นวายน้อยสักหน่อย และผลาญทรัพย์สมบัติน้อยลงหน่อย
วันนี้จึงจำเป็นที่จะต้องแสดงเรื่องวิชาบางเรื่องที่พอป้องกันแก้ไขหรือ
เยียวยาพยาธิหรือความป่วยไข้ที่เกี่ยวกับเส้นเลือดในสมองแตก ตีบ ตัน
หรือแขน ขาไร้เรี่ยวแรงหรืออัมพฤกษ์อัมพาตได้
ขอท่านทั้งหลายได้สนใจศึกษาพิจารณาและลองฝึกฝนปฏิบัติดู เพราะไม่เสียเวลา
ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ยุ่งยากลำบากอะไรเลย
จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ลองศึกษาพิจารณาทำความเข้าใจและฝึกฝนดูก่อนก็ได้
ไม่เสียหายอะไรเลย คิดเสียว่าลองของเล่นสนุก ๆ
เพื่อความเพลิดเพลินบันเทิงใจก็ได้
แต่ถ้าได้มรรคผลขึ้นมาก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพชนิดที่น่าพิศวงทีเดียว
เป็นผลดีต่อการป้องกันแก้ไขหรือเยียวยาความป่วยไข้หรือพยาธิที่ว่ามาข้างต้น
นี้ได้ แค่นี้ก็นับว่าเป็นบุญโขและคุ้มค่ายิ่งแล้ว
หลักวิชาที่ว่านี้มีชื่อว่า “เคล็ดวิชาเคลื่อนขยายเส้นเอ็น”
ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาโบราณคล้าย ๆ
กับหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นของปรมาจารย์ตั๊กม้อแห่งเส้าหลิน
แต่ต่างกันตรงที่มุ่งบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือด ประสาท
และเส้นเอ็น และเนื้อแท้ก็คือการออกกำลังชนิดหนึ่ง
แต่ไม่เหมือนกับการออกกำลังกายทั่วไป เพราะเป็นการออกกำลังจากภายใน
ทำนองที่หนังสือกำลังภายในเรียกว่าเดินพลังปราณนั่นเอง
เรารู้จักกันแต่การออกกำลังกายซึ่งเป็นเรื่องของภายนอก ไม่ว่าการวิ่ง
การจ็อกกิ้ง การเล่นฟิตเนส การว่ายน้ำ หรืออะไรในทำนองเดียวกันนี้
ล้วนแต่เป็นการออกกำลังกายภายนอกทั้งนั้น
ในส่วนภายในคือหัวใจ ตับ ไต ปอด ม้าม เส้นเลือดต่าง ๆ และเส้นประสาทต่าง ๆ
ไม่ได้ออกกำลังกายตามไปด้วย
หรือถ้ามีการขยับขับเคลื่อนบ้างก็เป็นผลต่อเนื่องและบางครั้งก็ได้รับ
อันตรายด้วยซ้ำไป
การออกกำลังจากภายในนั้นเป็นหลักวิชาที่มีมานับพัน ๆ ปี
แต่น่าเสียดายที่ไม่แพร่หลายเข้ามายังบ้านเมืองของเรา
เพราะถูกอิทธิพลหลักวิชาทางตะวันตกปิดกั้นครอบคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น
อย่างมากจึงได้แค่อ่านจากหนังสือกำลังภายในแล้วก็ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ามันเป็น
อย่างไร หรือไม่ก็อาจคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเพ้อฝันเท่านั้น
ความจริงมันมีอยู่จริง แต่เป็นสิ่งที่เรายังไม่รู้แล้วก็รีบชิงปฏิเสธเสีย
แล้วถือว่าสิ่งที่ยังไม่รู้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่มี ทั้งๆ
ที่สิ่งที่ไม่รู้นั้นมีมากกว่าสิ่งที่รู้สุดจะประมาณนัก
การป่วยไข้เพราะเหตุเส้นเลือดในสมองแตกหรือตีบหรือตัน หรือแขน ขาอ่อนกำลัง
หรือที่เรียกว่าเป็นอัมพฤกษ์
อัมพาตนั้นเป็นความป่วยไข้ที่มีเถือกเถาเหล่ากอเดียวกัน
คือเกิดจากเส้นเลือดหรือหลอดเลือดหรือท่อเลือดโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับ
สมองหรือส่วนที่เชื่อมใกล้ชิดกับสมองและยังเชื่อมโยงกับเส้นประสาทต่าง ๆ
ที่เชื่อมต่อจากสมองไปยังมือไม้ แขนขา
ชีวิตเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ความแก่ก็ติดตามมาควบคู่กัน ยิ่งกินอาหาร
ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ทำให้อายุขัยสั้นลง ไม่ว่าการกินของมันมาก ๆ
การพักผ่อนน้อย ๆ การดื่มของเมามาก ๆ หรือยึดมั่นถือมั่นในสิ่งไร ๆ มาก ๆ
ไม่รู้จักปล่อยปละละวาง ก็จะทำให้เส้นเลือดและเส้นประสาททั้งหลายเปราะบาง
ตีบแคบ หรือมีการอุดตันขึ้น
ไม่ต้องดูอะไรมาก
ให้ดูจากท่อน้ำทิ้งหรือท่อน้ำประปาที่ใช้กันอยู่ทุกบ้านเรือนก็ได้ พอใช้ไป 2
ปี 3 ปี ก็มีความเกรอะกรัง ทำให้ท่อตีบตันและแตก ฉันใด
เส้นเลือดและเส้นประสาทในร่างกายนี้ก็เป็นฉันนั้นไม่ต่างกันเลย
ท่อประปานั้นมันชำระสะสางความตีบความตันและความเกรอะกรังด้วยตนเองไม่ได้
ต้องอาศัยคนไปชำระชะล้าง ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม
หรือเมื่อชำรุดหนักก็เปลี่ยนใหม่ไปเสียเลย
นั่นขนาดเป็นวัตถุที่คงทนก็ใช้ได้ไม่กี่ปี
แต่ร่างกายของมนุษย์เรานี้วิเศษนัก เส้นเลือด
เส้นประสาทที่เป็นแค่เนื้อเยื่อ ยืดหยุ่น บอบบาง
แต่อยู่กับร่างกายนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย อาจจะอยู่ได้นานที่สุดถึงกัปหรือ 120
ปีด้วยซ้ำไป จึงนับว่าเป็นส่วนอวัยวะที่แข็งแรงทนทานอย่างยิ่งจนน่าพิศวง
ความจริงทั้งเส้นเลือด เส้นประสาทก็มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
มีความตายสลายไปเป็นธรรมดาเหมือนกัน
เป็นแต่ว่าเราแทบไม่รู้เพราะมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาก เซลล์ต่างๆ
ย่อมแก่ตัว ย่อมตายไปและหลุดออกไป แล้วมีเซลล์ใหม่เกิดขึ้นแทนที่เป็นลำดับ ๆ
ไป จนกระทั่งเมื่ออายุขัยล่วงไปมาก ๆ เข้าเซลล์ใหม่ก็เกิดน้อยลง
แข็งแรงน้อยลง แล้วทำให้อ่อนแอลงโดยลำดับ กระทั่งตาย
นอกจากนั้น
คนเรายังมีวิธีการเอาสิ่งเกรอะกรังหรือทำให้ความตีบตันบรรเทาลงหรือหายไปได้
ไม่ว่าด้วยการใช้ยาหรือด้วยการประพฤติปฏิบัติตนบางประการ
ในที่นี้ไม่พูดถึงการใช้ยา แต่พูดถึงการประพฤติปฏิบัติตน
เป็นการประพฤติปฏิบัติตนที่มีหลักวิชาสืบเนื่องมานับพันปีแล้ว
เป็นส่วนหนึ่งของหลักวิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็น
แต่ไม่ใช่วิชาเคลื่อนย้ายเส้นเอ็นโดยตรง
เป็นวิชาที่นักบวชในศาสนาพุทธนิกายมหายานใช้กันโดยทั่วไป
บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายในหรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง แต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก
บางทีก็เรียกว่าเป็นการเดินกำลังภายในหรือเป็นการเดินพลังปราณอย่างหนึ่ง แต่จะเรียกว่าอย่างไรไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ปฏิบัติให้บังเกิดผลต่างหาก
ดังนั้นหลักวิชาที่ว่านี้คือการประพฤติปฏิบัติตนด้วยตนเอง ทำแทนกันไม่ได้
ใช้เวลาไม่มาก แต่ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ก็จะสัมฤทธิผลเป็นแน่นอน
เริ่มต้นกันที่เวลาประพฤติปฏิบัติตนตามหลักวิชานี้ก่อน
ให้เริ่มทำครั้งแรกตอนตื่นนอน คือไม่ว่าจะตื่นนอนเวลาไหนก็ประพฤติปฏิบัติไป
ใช้เวลาสัก 10 นาที หรือ 15 นาที หรืออย่างน้อยแค่ 5 นาทีก็ได้
สุดแท้แต่ความจำเป็นหรือความสามารถจะปฏิบัติได้
การประพฤติปฏิบัติเมื่อตื่นนอนนั้น
ขณะนี้สอดคล้องกับหลักวิชาทางตะวันตกแล้ว
เพราะผลการวิจัยทางการแพทย์แผนตะวันตกนั้นพบว่าคนเราตายในเวลากลางคืนถึง
70% ตายในเวลากลางวันแค่ 30%
ปมเงื่อนของมันคือ
ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายในเวลากลางคืนซึ่งเป็นเวลานอนนั้นมีมากกว่าเวลา
กลางวัน เพราะเมื่อคนเรานอนหลับ น้ำตาลในเลือดจะลดต่ำ
การทำงานของสมองก็ลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น
คือเหลือเฉพาะส่วนที่เรียกว่าระบบควบคุมสำรองหรือระบบ stand by
ของอวัยวะบางส่วนเท่านั้น ในขณะที่อวัยวะสำคัญ ๆ
อื่นก็จะพักหรือแทบจะหยุดทำงาน
ครั้นตื่นขึ้นร่างกายปรับสู่ภาวะปกติ
หากลุกขึ้นทันทีก็อาจรองรับกับความเปลี่ยนแปลงไม่ทัน
และเป็นเหตุให้หลายคนเส้นเลือดในสมองแตกหรือล้มลงหลังจากผุดลุกในทันทีทันใด
ที่ตื่น
ดังนั้นการเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติในทันทีที่ตื่นนอน
โดยทำบนที่นอนนั้นจึงเท่ากับเป็นการป้องกันไม่ให้เส้นเลือดแตกหลังตื่นนอน
ได้อย่างมีผลยิ่ง
และทำให้ร่างกายปรับสภาพจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างค่อย
เป็นค่อยไป ยิ่งเป็นคนมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปแล้ว
การปรับสภาพอย่างค่อยเป็นค่อยไปนี้คือการป้องกันอันตรายจากการตายแบบฉับพลัน
ทันทีได้อีกด้วย
ดังนั้นจึงพึงตั้งใจเอาไว้ว่าทันทีที่รู้สึกตัวตื่นก็ให้นอนอยู่นิ่ง ๆ ก่อน
อย่าเพิ่งผุดลุกผุดนั่งไปไหน เตรียมกาย เตรียมใจที่จะฝึกวิชาที่ว่านี้
ระยะเวลาที่ฝึกฝนปฏิบัติ ถ้าจะให้ได้ผลดีก็อยู่ระหว่าง 15-20 นาที
แต่ถ้าจำเป็นหรือมีภารกิจเร่งด่วนก็ควรทำอย่างน้อยสัก 5 นาที
ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ก็จะเห็นผลชัดว่าเมื่อลุกขึ้นก็จะลุกขึ้นอย่างสะดวก
สบาย แคล่วคล่อง ว่องไวและมีความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น
นั่นเพราะร่างกายมีความพร้อม
และได้ปรับสภาพจากภาวะหลับสู่ภาวะตื่นอย่างเต็มที่แล้ว
อยากจะรับรองว่าถ้าทำได้ทุกวัน ๆ ละ 20 นาทีก็จะมีชีวิตยืนยาวอย่างน้อย 80
ปี โดยไม่มีวันที่เส้นเลือดในสมองจะแตกหรือตีบหรือตัน
ไม่มีวันที่จะเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตเป็นอันขาด
หรือถ้าใครเป็นและถ้าฝืนใจกล้ำกลืนปฏิบัติตนให้ได้ ไม่ช้าไม่นานเกิน 6
เดือนดอกก็จะได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่มีความเป็นปกติสุขมากขึ้น
การปฏิบัติตามหลักวิชานี้ใช้เพียงแค่ฝ่ามือทั้งสองและฝ่าเท้าทั้งสองเท่า
นั้น โดยเวลาเริ่มต้นการฝึกปฏิบัติ ให้นอนหงาย เหยียดเท้าทั้งสองตรง
และทอดมือทั้งสองไว้ข้างลำตัวในลักษณะตรง หงายมือทั้งสองขึ้น
เมื่อนอนนิ่งในลักษณะที่ยืดแขน ขาให้ตรง
พร้อมกับหงายฝ่ามือทั้งสองดังกล่าวแล้ว
ก็ให้ลองเกร็งแขนทั้งสองก่อนแล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปถึงฝ่ามือทั้งสอง
เพิ่มความเกร็งขึ้นเหมือนกับการถือลูกน้ำหนักไว้ในมือ
เคลื่อนการเกร็งไปมาสัก 2-3 ครั้ง
ถัดจากนั้นก็ลองเกร็งขาในลักษณะเดียวกัน คือเกร็งจากโคนขาไปก่อนถึงหัวเข่า
ถึงหน้าแข้ง ถึงตาตุ่ม และเท้าทั้งสอง
เคลื่อนการเกร็งจนสุดปลายนิ้วเท้าแล้วเคลื่อนกลับทวนขึ้นมา
ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา ย้อนลงไป เคลื่อนขึ้นมา แล้วย้อนลงไป
เพียงเท่านี้ก็เท่ากับได้ลองกำลังหรือพลังจากภายในกายนี้แล้ว
อาจจะรู้สึกเหนื่อยบ้างก็เป็นธรรมดา
ซึ่งต้องตระหนักรู้ว่าการเคลื่อนพลังภายในนั้นแม้ใช้เวลาอันน้อยอันสั้น
แต่ความเหนื่อยจะเหมือนกับการออกกำลังกายภายนอกมาก ๆ นั่นเอง
เมื่อพูดถึงเวลาเริ่มต้นการปฏิบัติ
ระยะเวลาที่ใช้และการเตรียมดังกล่าวแล้วก็มาถึงกระบวนท่าที่จะฝึกหรือ
ปฏิบัติ ซึ่งมีอยู่ 3 กระบวนท่าง่ายๆ ไม่ยากไม่ลำบากเลย
กระบวนท่าแรก มีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ”
กระบวนท่าที่สอง มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
กระบวนท่าที่สาม มีชื่อเรียกว่า “กรายเล็บกรีดพิณ”.
กระบวน
ท่าแรกที่มีชื่อว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ” นั้น
จะต้องทำความเข้าใจถึงที่มาก่อน คือลักษณะของนกอินทรีขยุ้มเหยื่อ
หรือเหยี่ยวขยุ้มเหยื่อก็ได้
ว่าประสาททั้งหลายกับกรงเล็บนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร
ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นหลักแห่งการวินิจฉัยอรรถคดีก็มีบัญญัติว่า
ผู้พิพากษาซึ่งจะพิจารณาตัดสินคดีนั้นจะต้องเล็งสายตาและปัญญาสอดส่อง
ประเด็นอันพิพาททั้งปวง ตลอดจนข้ออ้างข้อเถียงและพยานหลักฐาน
แม่นยำแล้วจึงถลาลงโฉบเอาเหยื่อนั้นไป
แม้
ในธรรมชาติที่เป็นจริงของอินทรีหรือเหยี่ยวที่จะจับเหยื่อเป็นอาหาร
ย่อมบินอยู่ในที่สูง สำรวมประสาททั้งกายให้มีความพร้อมสูงสุด
เพ่งสายตาเล็งเป้าหมายอย่างแม่นยำ
ในขณะเดียวกันก็ลู่กรงเล็บแล้วถลาลงไปที่เหยื่ออย่างรวดเร็ว
พอได้ระยะอันเหมาะก็กางกรงเล็บอันคมกริบนั้นตะครุบเอาเหยื่ออย่างหนักหน่วง
แม่นยำ แล้วโฉบขึ้นไปบนอากาศ
แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างประสาทภายในกับส่วนสมอง
และบัญชาการมายังปีก หาง และกรงเล็บ
ในขณะเข้าโจมตีก็ลู่กรงเล็บลงเพื่อไม่ให้ปะทะกับอากาศ
ครั้นได้ระยะอันเหมาะก็ขยายกรงเล็บและเดินพลังอย่างหนักหน่วง
ถลาลงโจมตีเอากรงเล็บขยุ้มจับเหยื่อถลาขึ้นไปบนอากาศ
ธรรมชาติเป็นเช่นนั้น
โบราณาจารย์ทั้งหลายแม้ในวิชาพระธรรมศาสตร์ก็ได้เห็นและเข้าใจธรรมชาตินี้
โบราณาจารย์ทางด้านกำลังภายในก็รู้และเข้าใจในธรรมชาตินี้
จึงปรับแปรมาใช้เป็นกระบวนท่าแรก
เมื่อ
เข้าใจธรรมชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างสมอง ประสาท
การบังคับร่างกายเคลื่อนพลังปราณ การขยับนิ้วทั้งมือและเท้าดังนี้แล้ว
ก็จะรู้และเข้าใจถึงหลักการพื้นฐานแห่งวิชาพลังภายในกระบวนท่านี้
จากนี้ไปก็จะเป็นการเริ่มปฏิบัติหรือฝึกปฏิบัติในกระบวนท่าที่หนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า “อินทรีขยุ้มเหยื่อ”
เริ่มต้นด้วยการยกมือทั้งสองข้างที่วางราบตรงไว้ข้างลำตัวขึ้นมาไว้ใน
ลักษณะตั้งฉากกับลำตัว ข้อศอกชิดลำตัวและติดกับพื้น
ตอนที่ยกมือขึ้นมาให้หุบนิ้วทั้งห้า เอาปลายนิ้วจรดกัน แล้วค่อย ๆ
เกร็งแขนจากแขนท่อนบนขึ้นไปยังแขนท่อนล่าง ขึ้นไปที่มือและปลายนิ้วทั้งห้า
แล้วขยับเคลื่อนการเกร็งโดยลำดับอีกครั้งหนึ่ง ลงไปยังจุดเดิม
แล้วเคลื่อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
ขั้นที่สอง
ให้อ้านิ้วทั้งห้าออกในลักษณะกางนิ้ว
แล้วงุ้มนิ้วเข้ามาประดุจดังกรงเล็บอินทรี และเกร็งพลังไว้ที่นิ้วทั้งห้า
จากนั้นก็ขยุ้มนิ้วทั้งห้าจนปลายนิ้วทั้งหมดจรดที่ฝ่ามือ
ขั้นที่สาม คลายนิ้วที่จรดจรดอยู่ที่ฝ่ามือ แล้วค่อย ๆ กางออกไปยังลักษณะแบมือ
เมื่อกระทำในขั้นที่สามแล้วก็กลับไปเริ่มขั้นที่หนึ่ง สอง
และสามใหม่ กระทำเช่นนี้สัก 5 นาที ในขณะเดียวกันก็เริ่มเกร็งพลังที่โคนขา
เคลื่อนไปยังหน้าแข้ง เท้า และปลายนิ้วเท้า ในลักษณะอย่างเดียวกัน
แต่คงไม่เหมือนกันแน่เพราะนิ้วเท้าสั้น ไม่อาจกระทำในลักษณะงอแบบขยุ้มได้
ก็ให้กระทำและเคลื่อนไหวในทำนองเดียวกันก็เป็นอันใช้ได้
เมื่อขยับมือและเท้าดังกล่าวแล้ว จากนั้นก็ให้กระทำพร้อมกันทั้งมือและเท้าอีกสัก 5 นาที
ใน
ระหว่างปฏิบัตินั้น อาจจะได้ยินเสียงเส้นเอ็นและข้อกระดูกลั่นดังกรุ๊บกรั๊บ
หรือกร๊อบแกร๊บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็อย่าได้ตกใจประการใด
ให้สังเกตเสียงดังนั้นให้จงดี
ถ้าลักษณะของเสียงดังกรุ่บกรุ่บ หรือกรึ๊บกรึ๊บ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ
ยังมีความเป็นปกติดีเป็นส่วนใหญ่
แต่เส้นเอ็นและพังผืดเริ่มจะติดยึดกันบ้างแล้ว
การปฏิบัติเช่นนี้จะส่งผลในภายหน้าให้การติดยึดของเอ็นและพังผืดค่อย ๆ
คลายตัว จนมีความเป็นปกติในที่สุด
ถ้าเสียงดังกร๊อบกร๊อบ ก็แสดงว่าข้อกระดูกต่าง ๆ
เริ่มติดยึดหรือติดขัดหรือเกิดความไม่สะดวกขึ้นแล้ว
อันเป็นอาการเริ่มต้นของโรครูมาตอยหรือโรคไขข้อ
หรือสภาพที่กระดูกเสื่อมไปเพราะอายุขัยที่ล่วงไปก็ได้
ในกรณีเช่นนี้ต้องใช้อาหารเข้าช่วยบ้าง
คือกินอาหารจำพวกที่มีแคลเซี่ยมเพิ่มขึ้น
เพื่อบำรุงกระดูกให้สมบูรณ์แข็งแรง
แต่ถ้าเสียงดังแกร๊บแกร๊บ ก็แสดงว่ากระดูกข้อต่างๆ เริ่มบางลง
ซึ่งมีมาแต่เหตุสองสถาน คือเพราะความแก่ชราอย่างหนึ่ง
หรือเพราะโรคข้อกระดูกที่ทำให้ไขกระดูกไม่สมบูรณ์ เปราะบาง
จึงเกิดเสียงดังแกร๊บแกร๊บ
ถ้าถึงขั้นนี้แล้วก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อบำรุงกระดูกอย่างจริงจังให้มาก
ขึ้น
แต่พึงระวังว่ายาบำรุงกระดูกทุกชนิดมีผลข้างเคียงมาก อาจเกิดโรคกระเพาะ
ลำไส้ หรือแพ้ยาจนตายไปเลยก็ได้
และถ้าตัดใจได้ว่าจะเยียวยาโดยวิถีธรรมชาติก็หมั่นกินอาหารที่บำรุงกระดูก
ดื่มน้ำสะอาด หรือปฏิบัติตนโดยการดื่มน้ำ 5 แก้วก็จะยิ่งได้ผลดี
เห็นทีจะฟื้นฟูให้ดีได้ หรืออย่างร้ายอาการก็จะไม่ทรุดในระดับเดิม
ระยะ
เวลาปฏิบัติ 5 นาทีหรือ 10 นาทีในท่านี้
ให้สังเกตดูโดยแยบคายก็จะพบว่าอาการตึงหรือความเครียดหรือความติดขัดบริเวณ
ต้นคอหรืออาการปวดบริเวณศีรษะจะเหมือนมีอะไรมากระตุ้นปรี๊ดปรี๊ด
หรือจี๊ดจี๊ด สักครู่หนึ่งก็จะค่อยบรรเทาเบาลงไป
ในกรณีรู้สึกปวดจี๊ดที่ศีรษะ แสดงว่าการเกร็งกำลังอาจจะมากเกินไป
ดังนั้นในระยะต้นก็ให้ผ่อนการเกร็งลงมาสักหน่อยหนึ่ง
อาการปวดจี๊ดที่ศีรษะก็จะบรรเทาลง จากนั้นจึงค่อย ๆ
เพิ่มพลังขึ้นโดยสอดคล้องกับความรู้สึกเจ็บจี๊ดจี๊ดที่น้อยลงนั้น
หากมีอาการเช่นนี้ก็จงรู้เถิดว่ามันมีอะไรมาอุดหรือเกรอะในท่อหรือเส้น
เลือดในบริเวณสมองแล้ว แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องตกใจ
เพราะนี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าพลังที่ขับเคลื่อนไหนั้นเริ่มกระตุ้นให้สิ่ง
ที่ติดขัดหรือเกรอะกรังหรือตีบตันค่อยๆ ทะลุทะลวงเป็นลำดับ ๆ ไป
เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็อย่าเป็นคนใจร้อนด่วนหาย
เพราะความใจร้อนนั้นไม่เป็นคุณประโยชน์อันใดเลย
ทำความเข้าใจเสียว่ายังมีเวลาอีกมากมาย ไม่จำเป็นต้องรีบต้องร้อน
ถ้านึกสนุก ๆ ก็นึกเสียว่าเราจะปฏิบัติรักษาตัวแบบนี้ไปสัก 50-60
ปีก็ไม่เห็นเป็นไรเพราะมีความหมายอยู่ในตัวว่าจะยังไม่ตายใน 50-60 ปีนี้
นี่เป็นเรื่องกล่าวสนุก ๆ เล่น ๆ เพื่อเป็นกำลังใจในการฝึกปฏิบัติเท่านั้น
เพียง
ไม่ถึง 5 นาทีที่ปฏิบัติก็จะรู้สึกเหนื่อย บางครั้งก็มีเหงื่อออก
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอวัยวะภายในได้รับการออกกำลังด้วยวิธีการเดิน
พลัง ซึ่งเป็นทำนองเดียวกับการออกกำลังภายนอก
เป็นแต่ว่าการออกกำลังในภายในนี้มันมีผลกระทบและเกิดโดยตรงขึ้นกับหัวใจ
ปอด ตับ ไต สมอง และประสาททั้งมวล ดังนั้นแม้แค่เวลา 5
นาทีก็มีผลไม่ต่างกับการ จ็อคกิ้งหรือวิ่งรอบสนาม 30 นาทีเลย
เริ่มต้นทำได้อย่างนี้ก็ถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี
ย่อมมีผลมาก
เมื่อหมั่นทำทุกวันเข้าก็จะได้รับผลและอานิสงส์ของการปฏิบัติตนเป็นลำดับ ๆ
ไป จนในที่สุดสิ่งที่เคล็ดขัดยอดหรือติดขัดในกาย
หรือสิ่งที่ตีบตันเกรอะกรังอยู่ในประสาทหรือเส้นเลือดหรือท่อเลือดต่าง ๆ
ก็จะค่อย ๆ สร่างหายไปจนเป็นปกติ
การปฏิบัติอย่างนี้มีเป้าหมายทำให้กายนี้มีความเป็นปกติตามสภาพที่พึงเป็น
เพราะถึงเป็นวิชาที่ล้ำเลิศประการใดก็ไม่อาจล่วงพ้นกฎแห่งพระไตรลักษณ์ได้
คือไม่อาจห้ามหรือหนีความชราไปได้เลย แต่ว่าให้มันช้าสักหน่อย จนอายุค่อย ๆ
เคลื่อนไปใกล้กัปหรือถึงกัปนั่นแล
ไม่เกินเดือนหรือ 45 วันดอก ก็จะรู้สึกว่าร่างกายมีความเบา มีความคล่องตัว
หูตา การเคลื่อนไหวฉับไวขึ้น แม่นยำขึ้น อาการปวดศีรษะหากเคยเป็นก็จะหายไป
อาการติดขัดตามคอ ตามไหล่ แขน ขา หรือเท้าก็จะหายไป
นี่เรียกว่าได้นำพากายนี้ให้ถึงซึ่งความเป็นปกติแล้ว
แต่
เท่านั้นก็ยังคงไม่พอ
สำหรับผู้ที่มีความปรารถนาให้เกิดความก้าวหน้ามากขึ้นก็ปฏิบัติให้สูงขึ้น
ได้อีก ทำนองเดียวกับหลักปฏิบัติในวิชาพลังเอกธาตุ คือหลอมกาย ใจ และปราณ
ให้เป็นหนึ่งเดียว
หมายความว่าเมื่อฝึกฝนและปฏิบัติจนมีความชำนาญ
ร่างกายเข้าสู่ความเป็นปกติแล้ว
ก็ใช้โอกาสนั้นฝึกปราณและฝึกใจในระดับที่สูงขึ้นไปด้วย
ก็จะได้รับอานิสงส์อันประเสริฐ สมกับที่ได้เกิดมาเป็นเวไนยสัตว์
เริ่มต้นด้วยการประสานกายกับปราณก่อน
นั่นคือเมื่อขยายนิ้วมือออกก็ให้หายใจออกให้หมดปอด
เวลาขยุ้มนิ้วมือก็ให้หายใจเข้าให้เต็มปอด
พยายามรักษาความสม่ำเสมอของระยะการขยายหรือการขยุ้มมือกับระยะการหายใจให้
สอดคล้องต้องกัน
หายใจออกหมดปอดเมื่อใด นิ้วมือก็กางขยายเต็มที่เมื่อนั้น
หายใจเข้าเต็มปอดเมื่อใด นิ้วมือก็ขยุ้มเข้ามาจนจรดฝ่ามือเมื่อนั้น
นี่คือหลักการประสานกายและปราณให้เป็นเอกภาพ ตามหลักวิชาพลังเอกธาตุ
จากนั้นก็ผนึกจิตหรือใจกับกายและปราณให้เป็นเอกภาพต่อไป
โดยสละละวางความนึกคิดทั้งปวงเสีย
หันมาสนใจเพ่งเล็งอยู่ที่ปลายนิ้วมือหรือที่ปลายจมูกก็ได้เพียงจุดเดียวตลอด
ระยะเวลาที่หายใจออกและหายใจเข้า
ฝึกฝนจนชำนาญก็จะเกิดความสัมพันธ์ที่เป็นเอกภาพระหว่างกาย ใจ และปราณ
ซึ่งก็คือการบรรลุถึงขั้นสูงประการหนึ่งในการฝึกพลังเอกธาตุด้วย
ต่อไปก็จะเป็นกระบวนท่าที่สอง ที่มีชื่อเรียกว่า “เสือบี้เห็บ”
การเลียนแบบธรรมชาติของสัตว์โดยเฉพาะเสือนั้นมีมาช้านานและถูกนำไปใช้ใน
หลักวิชาหลายแขนง
ดังเช่นในตำราพิชัยสงครามก็มีวิธีจัดตั้งค่ายและวางรี้พลในลักษณะท่าทางของ
เสือ
ในการฝึกวิชายุทธ์ของสำนักเส้าหลินและอีกหลายสำนักก็ใช้กริยาอาการตาม
ธรรมชาติของเสือมาเป็นพื้นฐานการฝึกฝน
การฝึกฝนปฏิบัติในกระบวนท่าที่สองนี้ก็มีพื้นฐานมาจากธรรมชาติประการหนึ่ง
ของเสือ คือเป็นปกติของสัตว์ทั้งหลายที่มักจะมีสัตว์เล็ก ๆ เบียดเบียน เช่น
เห็บ เหาหรือหมัด ซึ่งจะเกาะอาศัยอยู่ตามซอกนิ้วมือนิ้วเท้า
แล้วกัดกินดูดเลือดของเสือ ทำให้เกิดความรำคาญ เป็นที่มาแห่งโรค
และบางครั้งก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ความตายได้ด้วย
กระบวนท่า “เสือบี้เห็บ” ก็คือการนำพื้นฐานจากการที่เสือใช้อุ้งตีนบดขยี้บี้เห็บ เหา หรือหมัดนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น